posttoday

Value for Money “คุณค่าของเงินที่จ่าย” ที่เราเลือกได้ทุกระดับ

05 มิถุนายน 2558

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เลยไปถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่ การเกิดโรคอุบัติใหม่ โรคที่เกิดอุบัติซ้ำ อายุยืนยาวมากขึ้นแต่กลับแฝงไปด้วยโรครุมเร้า หรือแม้แต่นโยบายจากภาครัฐ ที่ต้องการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ...เหล่านี้ล้วนส่งผลให้คนในปัจจุบัน ต้องการบริการด้านสาธารณสุขที่ดีและมีคุณภาพสูงมากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เลยไปถึงพฤติกรรมความเป็นอยู่ การเกิดโรคอุบัติใหม่ โรคที่เกิดอุบัติซ้ำ อายุยืนยาวมากขึ้นแต่กลับแฝงไปด้วยโรครุมเร้า หรือแม้แต่นโยบายจากภาครัฐ ที่ต้องการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน ...เหล่านี้ล้วนส่งผลให้คนในปัจจุบัน ต้องการบริการด้านสาธารณสุขที่ดีและมีคุณภาพสูงมากขึ้น

ทำให้ “โรงพยาบาลเอกชน” ในประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นแค่สถานพยาบาลทางเลือกขนาดเล็ก สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐและลดความแออัดของผู้ใช้บริการในโรงพยาบาลรัฐ มุ่งมั่นพัฒนาจนกลายเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการทั้งจากภายในประเทศและระดับนานาชาติ ถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการและประสิทธิผลในการรักษา ทั้งหมดนี้คิดเป็นเงินลงทุนกว่า 2.26 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสินทรัพย์รวมของโรงพยาบาลเอกชนกว่า 478 แห่ง ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ระบุไว้ในปี 2556

โดยข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2555-2556 พบว่า มีผู้ป่วยต่างชาติเข้ารับการรักษาเพียงครึ่งปีแรกจนถึงเดือนมิถุนายนมากถึง 1.42 ล้านคน ซึ่งมากกว่าในปี 2555 ตลอดทั้งปีที่มีชาวต่างชาติเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย 1.12 ล้านคน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีทีระบุว่า พบชาวเมียนมารักษาพยาบาลมากที่สุด รองลงมาเป็นจีนสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศตะวันออกกลางอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน และกาตาร์ อังกฤษและไอร์แลนด์เหนือ ลาว กัมพูชา อินเดีย ออสเตรเลีย และเยอรมนี ตามลำดับ

ขณะที่ ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในปี 2556 สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า 1.4 แสนล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมีโรงพยาบาลเอกชนช่วยดึงเงินเข้าประเทศมากที่สุดถึง 7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 50

ความเชื่อมั่นต่อโรงพยาบาลเอกชนของไทยจากผู้ใช้บริการยังมีมากขึ้น หลังจาก “โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์” โรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านการพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยระดับสากล Joint Commission International Quality Approval หรือ JCI จากสหรัฐฯ ในปี 2545 ซึ่งถือเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดที่โรงพยาบาลทั่วโลกให้การยอมรับ มาถึงปี 2556 มีโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยผ่านการรับรองมาตรฐานดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 44 แห่ง ในปี 2558 นอกจากนี้ “โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอลเซ็นเตอร์” ยังเป็นโรงพยาบาลเอกชนแห่งแรกในประเทศไทยและในอาเซียน ที่ได้การรับรองมาตรฐานคุณภาพระดับสากลของกลุ่มประเทศยุโรป DNV GL Hospital Accreditation หรือ DNV GL ในปี 2558

ขณะที่เดียวกัน มีโรงพยาบาลเอกชนได้รับมาตรฐานระดับประเทศ Hospital Accreditation หรือ HA จำนวน 91 แห่ง

การพัฒนาและรักษามาตรฐานด้านต่าง ๆ เพื่อก้าวไปสู่บริการที่เป็นเลิศนี้ ทำให้โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำหลายแห่งเป็นแหล่งรวมของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางหลากหลายสาขา พร้อมดูแลผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง ในทุกสถานการณ์ โดยไม่ถูกบ่ายเบี่ยงการรักษาจนกว่าจะพ้นวิกฤติ โดยเฉพาะผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉินที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูง ซึ่งจะช่วยลดอัตราการทุพพลภาพและเสียชีวิตจากการป่วยหรือบาดเจ็บในภาวะฉุกเฉินได้มากขึ้นนอกจากนี้ ยังมั่นใจได้ว่าทุกคนจะได้รับการบริการสาธารณสุขที่จำเป็นอย่างทันท่วงทีและมีคุณภาพ ซึ่งยังเป็นสาเหตุสำคัญช่วยสร้างแรงจูงใจ ให้แพทย์ไทยที่สังกัดอยู่กับโรงพยาบาลในต่างประเทศจนมีความเชี่ยวชาญ กลับมาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ประชาชนในประเทศรวมถึงชาวต่างชาติมีต่อโรงพยาบาลเอกชนไทย จนเดินทางมารักษาพยาบาลต่อปีด้วยอัตราผู้ป่วยนอก (OPD) 55 ล้านครั้ง และในลักษณะผู้ป่วยใน 1.5 ล้านครั้ง ล้วนมาจากตัวแปรสำคัญคือ “การลงทุน” และ “การพัฒนา” ให้โรงพยาบาลมีคุณภาพมาตรฐานสมบูรณ์และให้การรักษาพยาบาลอย่างปลอดภัยต่อชีวิตอยู่ตลอดเวลา

อีกทั้งความเชื่อมั่นของโรงพยาบาลเอกชนต่อผู้คนในทุกวันนี้ สามารถเห็นได้จากประชาชนที่ยินดีจ่ายเงินส่วนตัวหรือซื้อประกันสุขภาพเอกชนมาใช้ ทั้งที่มีหลักประกันสุขภาพจากรัฐเกือบทุกคนแล้ว เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าการสละสิทธิ์จากกองทุนที่มีแล้วตัดสินใจเสียค่าใช้จ่ายด้วยตนเองนั้น จะมีความคุ้มค่าหลายประการ ตั้งแต่ประการแรก คือได้รับการดูแลจากแพทย์เฉพาะทางที่แตกต่าง ทั้งความเชี่ยวชาญ ความตั้งใจ มีเวลาและสมาธิในการรับฟังอาการ ประการที่สอง คือกระบวนการบริหารจัดการและการรักษาที่มีมาตรฐานกำกับและตรวจสอบได้ ประการที่สาม สถานที่ที่สะดวกสบายและมีความปลอดภัย ประการที่สี่ ความเชื่อมั่นในกระบวนการทางยาและเครื่องมือที่มีมาตรฐาน ประการที่ห้า มีการสื่อสารโครงการต่าง ๆ ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อผู้ป่วย และประการที่หก คือราคาที่จ่ายกับมูลค่าของผลที่ได้รับ

เช่นหากเราลองเปรียบเทียบ วิธีการดูแลรักษาโรคเบาหวาน2วิธี วิธีที่หนึ่ง “ถูกแต่แพง” คือรักษาตามอาการ ค่าใช้จ่ายอาจตกประมาณ 10,000 บาทต่อปี กับวิธีที่สอง “แพงแต่ถูก” แต่การรักษาจะทำโดยดูอาการของผู้ป่วยอย่างครอบคลุมไม่เพียงโรคเบาหวานและปริมาณน้ำตาลในเลือดเท่านั้น หากยังติดตามเฝ้าดู ควบคุม และตรวจหาอาการข้างเคียงของโรคที่จะนำไปสู่ความเสียหายของอวัยวะและระบบการทำงานของร่างกายที่ป้องกันได้ หรือถ้าพบก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้ผู้ป่วยที่ไม่ควรพิการก็ต้องไม่พิการ ซึ่งวิธีที่ 2 แม้จะมีค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าวิธีแรก คืออาจสูงถึง 3-5 หมื่นบาทต่อปี แต่ก็ต้องถือว่าเป็นการรักษาที่แพงแต่ถูก คือสิ่งที่เรียกว่า “Value for Money” หรือ “คุณค่าที่ได้รับจากเงินที่จ่าย” ผลได้จากการรักษาต่อบาทจึงสูงกว่าวิธีแรก ที่ผู้ป่วยอาจต้องเสียค่ารักษาความพิการต่าง ๆ ที่ตามมาเนื่องจากไม่มีการป้องกันมาก่อน เป็นต้น เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยอาจต้องเลือกว่าต้องการแบบไหน...

“ถูกแต่แพง” หรือ “แพงแต่ถูก”... 

                             โดย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
“โรงพยาบาลเอกชน”คุณค่าคู่สังคม…ที่ถูกมองข้าม

 

 

 

Advertorial

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68