เสียงเตือนจากรุ่นพี่ "คมช." อย่าปฏิรูปแบบพิสดารเกินไป
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญห้ามสร้างกลไกมีส่วนร่วมของประชาชนที่พิสดารมากเกินไป จนเกินความเข้าใจและประชาชนเข้าไม่ถึง
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
สถานการณ์ทางการเมือง ณ ช่วงเวลาครบรอบ 1 ปีของการรัฐประหาร ต้องถือว่าคุกรุ่นพอสมควรด้วยปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก หรือแม้แต่แรงกดดันจากกลุ่มการเมืองเก่าที่พุ่งตรงมาที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในหลายๆ ประเด็น
พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งปัจจุบันเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้มุมมองเชิงเปรียบเทียบผ่านโพสต์ทูเดย์ถึงความเหมือนและความต่างกับสถานการณ์ที่ต้องเจอระหว่าง คมช.และ คสช.ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
“ในอดีตตอนนั้นเครือข่ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้แข็งแรงมากนัก แรงกดดันที่ คมช.และ คสช.เจอนั้นมีความคล้ายคลึงกันแต่คนละแบบ ตอนนั้นอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน คมช.ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง อำนาจตกอยู่กับรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งสิ้น คมช.รับผิดชอบเรื่องความมั่นคง”
พล.อ.สมเจตน์ เปรียบเทียบว่า สมัย คมช.มีแรงกดดันไม่มาก โดยกระบวนการต่อสู้ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญเวลานั้นมีไม่มาก ยกเว้นมวลชนของพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งใช้ขบวนการรณรงค์ให้ลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
เพื่อต่อต้าน คมช.
“เขาวางแผนว่าถ้าสามารถต่อต้านการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญได้สำเร็จก็ทำไป แต่ถ้าไม่สำเร็จก็เปลี่ยนขบวนการและเครือข่ายที่สร้างเอาไว้มาสู่การเลือกตั้ง เมื่อมาถึง คสช.แม้ คสช.จะให้มีการลงประชามติ แต่คิดว่าก็จะไม่มีการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองใช้ขบวนการแบบในอดีตเมื่อปี 2550 เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมืองได้อีก
“ผมพยายามชี้ให้เห็นว่า ถ้ามีการลงประชามติก็ต้องดูขบวนการเหล่านี้ด้วย มิเช่นนั้นพรรคการเมืองก็จะใช้เป็นเงื่อนไขในการสร้างเครือข่ายทางการเมืองก่อนได้อีก เพราะในสมัย คมช.มีมาแล้ว ผมพยายามพูดให้เห็น คนอื่นเห็นหรือไม่เห็นผมไม่ทราบ แต่ผมเห็นครับ”
ขณะที่เรื่องภาพรวมของเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่ออกมา พล.อ.สมเจตน์ มองว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญห้ามสร้างกลไกมีส่วนร่วมของประชาชนที่พิสดารมากเกินไป จนเกินความเข้าใจของประชาชนและประชาชนเข้าไม่ถึง ประชาชนไม่เหมือนนักวิชาการ เช่น คำว่า “พลเมือง” ถามว่าดีหรือไม่ ผมว่าก็ดี แต่ถามว่าใครเข้าใจบ้างว่ามีความแตกต่างจากคำว่า ประชาชน บุคคล ราษฎร อย่างไร
“การยกร่างรัฐธรรมนูญจะไม่ต้องทำแบบใครอยากใส่ก็ใส่เข้าไป บางคนเข้าไปปกป้องสิทธิประโยชน์ของตัวเอง บางคนคาดหวังจะเอาโน่นเอานี่ไปใส่ ผมว่าตรงไหนที่มันไม่ได้เป็นปัญหาก็อย่าเพิ่งเอาไปใส่”
พล.อ.สมเจตน์ ในฐานะอดีต สว.สรรหา ยังได้วิพากษ์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภา ว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่บัญญัติให้ สว.มีอำนาจออกกฎหมาย กลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล ตรวจสอบจริยธรรมของคณะรัฐมนตรี และถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวคิดว่าไม่ควรให้ สว.มีหน้าที่ออกกฎหมาย เพราะคนออกกฎหมายมีอยู่แล้ว คือ คณะรัฐมนตรี องค์กรอิสระ สภาผู้แทนราษฎร และการให้อำนาจประชาชนเสนอกฎหมาย
“ไม่ควรให้ สว.ไปตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี มันเป็นการก้าวก่ายอำนาจบริหาร เพราะสภาเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรีมาแล้วก็ต้องให้สิทธินายกฯ ในการเลือกรัฐมนตรี อีกด้านหนึ่งจะเป็นช่องทางที่จะทำให้รัฐมนตรีมาวิ่งเต้นกับ สว. ทำให้ สว.มีอำนาจเป็นบุญคุณเหนือรัฐมนตรี ต่อไป สว.จะไปเรียกหาผลประโยชน์จากรัฐมนตรี”
ส่วนประเด็นสำคัญอย่างที่มาของ สว.ที่มีความหลากหลาย พล.อ.สมเจตน์ ส่งเสียงท้วงติงอย่างจริงจังว่า “ผมไม่อยากเห็น สว.ที่มีที่มาที่หลากหลายเกินไป เพราะเป็นการออกแบบองค์กรที่มีความแตกแยก สว.ที่มาจากการเลือกตั้งคุณก็ใช้วิธีการเลือกตั้งเหมือน สส. คุณมีพื้นที่ เมื่อมีพื้นที่แล้วก็จำเป็นต้องดูแลประชาชน เงินเดือน สว.แสนกว่าบาทพอดูแลประชาชนหรือไม่ เมื่อไม่พอปุ๊บสิ่งที่คุณต้องการคืออะไร อำนาจรัฐ งบประมาณ เมื่อต้องการสิ่งเหล่านี้คุณจะตรวจสอบรัฐบาลได้หรือไม่ ก็ไม่ได้”
“ผมเห็นว่า สว.มาจากสองน้ำสามน้ำอย่างนี้เป็นการออกแบบองค์กรที่มีความแตกแยก ซึ่งผมอยู่ในองค์กรนี้ตอนหลังไม่มองหน้ากัน ไม่เผาผีกัน แทบไม่มองหน้ากัน ในเมื่ออดีตเรามีปัญหามาแล้วจะเอาปัญหานี้มาใส่รัฐธรรมนูญอีก ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นคณะกรรมาธิการยกร่างฯ ต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไร ถ้าจะเอาเลือกตั้งก็เลือกตั้ง จะเอาสรรหาก็เอาสรรหา”
สำหรับความคิดเห็นที่มีต่อการปฏิรูปประเทศผ่านกลไกการเสนอกฎหมายจากรัฐบาลมาให้ สนช.พิจารณาเห็นชอบนั้น พล.อ.สมเจตน์ สรุปว่า “สิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังในเรื่องการเสนอกฎหมายในยุครัฐประหาร คือ ข้าราชการมักใช้โอกาสตรงนี้ในการเอาอำนาจมาไว้กับตัวเอง คสช.จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่งว่า คสช.ต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือของข้าราชการในการออกกฎหมายเพื่อให้ข้าราชการมีอำนาจมากขึ้น แล้วไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน”
พล.อ.สมเจตน์ สรุปว่า อยากเห็นรัฐบาลเสนอกฎหมายเพื่อการปฏิรูปเข้ามาใน สนช. โดยต้องย้อนกลับไปดูว่าตอนนั้นที่เรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งมีเรื่องอะไรบ้าง การปฏิรูปประเทศจะต้องทำใน 4 ส่วน ได้แก่ 1.แก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตร ต้องหาทางลดต้นทุนการผลิต เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น 2.จัดการปัญหาการทุจริตอย่างเด็ดขาด ต้องทำให้รวดเร็ว จะช้าไม่ได้ 3.เร่งดำเนินงานปฏิรูปในสิ่งที่เป็นปัญหา คือ การปฏิรูปตำรวจและระบบข้าราชการ และ 4.การปฏิรูปการศึกษา เรื่องนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าระบบการศึกษาดี เราจะได้นักการเมืองที่ดีเข้ามา


