"อาชีพนักแสดงไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น"สุเชาว์ พงษ์วิไล
โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เช่นเดียวกับอาชีพนักแสดงในวงการบันเทิง บทเรียนจากหลักไมล์ที่ 70 ของชีวิต"สุเชาว์ พงษ์วิไล"
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...ภัทรชัย ปรีชาพานิช
บ้างบอกว่าเขาดุ บ้างก็ว่าใจดี บางคนมองว่าเขาน่าเกรงขาม ขณะที่อีกหลายคนยืนยันว่าเขาคือผู้ชายที่อบอุ่นที่สุดที่เคยรู้จัก
อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริง นั่นก็เพราะว่าทุกคนที่กล่าวมาข้างต้นต่างตัดสินเขาจากรูปลักษณ์ น้ำเสียง และบทบาทการแสดงผ่านทางละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มาตลอด 40 ปีที่ผ่านมา
"สุเชาว์ พงษ์วิไล" หรือ "เขา" ที่เรากำลังพูดถึง นั่งอยู่เบื้องหน้าผมแล้ว ณ ร้าน MOD BIKE SHOP ย่านสุคนธสวัสดิ์ ท่ามกลางบรรยากาศฝนพรำในยามเช้า
จากเด็กหนุ่มเมืองลพบุรี เข้ากรุงไล่ล่าความฝันการเป็นนักแสดง แจ้งเกิดในฐานะดาวร้าย ก่อนจะพัฒนาฝีมือขึ้นเป็นลำดับผ่านการรับบทบาทการแสดงอันหลากหลาย ผลงานละครโทรทัศน์มากกว่า 225 เรื่อง ภาพยนตร์ 33 เรื่อง และอื่นๆอีกมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในนักแสดงที่มากความสามารถที่วงการบันเทิงไทยเคยมีมา
วันนี้ ในวัย 70 บุคลิกยังแลดูแข็งแกร่ง แววตาดุดันบนใบหน้าอ่อนโยน น้ำเสียงใจดีชัดถ้อยชัดคำจะมานั่งพูดคุยความไม่แน่นอนของชีวิต ความยากลำบากของการเป็นนักแสดง และบทเรียนล้ำค่าที่ฝากไว้ให้ดารารุ่นหลัง...
ทำไมถึงเลือกอาชีพนักแสดง
สมัยเด็กๆผมชอบดูหนังดูละคร มีอยู่วันหนึ่งได้ดูภาพยนต์เรื่อง "Ugly American" ที่คุณชายคึกฤทธิ์ ปราโมชเคยเล่นไว้ รู้สึกว่าคนไทยก็มีความสามารถนะ ฝรั่งเองก็ยอมรับการแสดงของคนไทย ประกอบกับได้อ่านหนังสือของคุณชายเรื่อง"เมืองมายา"ด้วยเลยทำให้สนใจอยากจะลองเข้ามาทำงานตรงนี้
ไปแคสงานโฆษณาหลายครั้ง ได้บ้างไม่ได้บ้าง แล้วตอนนั้น AUA เปิดคอร์สสอนการละคร ผมก็ไปเทคคอร์ส สนุก ตื่นตาตื่นใจมาก เป็นความรู้ใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ทำให้ผมรู้จักละครเวทีของอเมริกัน ทำให้ผมรู้จักเทนเนสซี่ วิลเลียมส์ มาร์ลอน แบรนโด ต่อมาเปิดโรงเรียนการแสดง มีอาจารย์จุฬามาสอน เราก็ไปรู้จักกับพวกอาจารย์มหาวิทยาลัย จนกระทั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กำลังทำละครเรื่องนึงซึ่งขาดนักแสดงที่จะมาเล่นเป็นกษัตริย์ ก่อนหน้านั้นเขาคัดเลือกนักศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความเป็นเด็ก ด้วยวุฒิภาวะทำให้ไม่มีใครสามารถรับบทนี้ได้ จึงประกาศรับบุคคลภายนอก ผมก็เดินเข้าไปสมัคร ไปสมัครอยู่คนเดียวเลย ทางนั้นก็ตกลงให้รับบท ซ้อมอยู่ 2-3 เดือนก็ได้เล่นละครเรื่องแรก จากนั้นก็ได้รับการชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง
วงการบันเทิงยุคนั้นเป็นอย่างไร
สมัยก่อนการจะก้าวเข้ามาเป็นนักแสดงในวงการบันเทิงเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่มีโมเดลลิ่ง วงการบันเทิงเมื่อ 40-50 ปีก่อนแทบไม่มีนักแสดงหน้าตาธรรมดาๆเลย ต้องหล่อสวย ต้องหน้าตาดีก่อน แล้วค่อยมาฝึกการแสดงทีหลัง ผมเองก็ไม่ใช่คนหน้าตาดี หน้าตางั้นๆธรรมดาๆ
ผมว่าการแสดงไม่ยาก ทุกคนทำได้หมด แต่จะทำให้ดี ทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้นๆ มันยากตรงนี้มากกว่า การแสดงที่ดีมันต้องไม่แสดง มันก็เหมือนช่วงใดช่วงหนึ่งของทุกคนในชีวิตประจำวันนั่นแหละ เราต้องจำลองชีวิตช่วงนั้นให้ดูน่าเชื่อถือ เวลาผมเดินเข้าฉาก ผมจะใช้หลักว่าผมเข้าไปตรงนั้น ผมไปทำอะไร เหมือนความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน เช่น มาพบคุณวันนี้ มาทำไม ผมก็ต้องรู้หน้าที่ตัวเอง และทำมันให้ดีที่สุด
เหตุใดช่วงแรกมักได้รับบทเป็นดาวร้าย
คนเรามันจะมีลักษณะเฉพาะ เหมือนที่ผู้จัดส่วนมากเลือกผมมาเล่นเป็นผู้ร้าย ก็เพราะผมหน้าตาดุ ดูจริงจัง ดูเอาเรื่อง แต่พอทำงานหลายปีผมก็ได้บทที่หลากหลายมากขึ้น เป็นคนดีก็ได้ คนเลวก็ได้ (หัวเราะ) ผู้ชมส่วนใหญ่จะติดภาพจากจอทีวีมากกว่ารู้จักตัวตนที่แท้จริง ดาวร้ายส่วนมากจึงไม่ค่อยมีคนรักเท่าไหร่ คนจะกลัวกันมากกว่า สมัยหนุ่มๆไปจีบลูกสาวบ้านไหนก็ยาก เพราะเขาจะพูดเลยว่าคนแบบนี้อย่าไปยุ่งกับมัน เดินผ่านทีไรเขาก็แทบจะปิดประตูใส่
ความยากของการเป็นนักแสดงยุคนั้นต่างจากยุคนี้อย่างไร
ยุคผมมันคาบเกี่ยวระหว่างยุคที่ละครโทรทัศน์จะไม่มีการบอกบท ต้องเล่นกันสดๆ ถ้าเป็นละครเวทีก็ต้องซ้อมกันหลายครั้งนานเป็นเดือนๆ ต่างจากยุคที่มีการบันทึกเทป ซ้อมกลางวัน กลางคืนก็เข้าฉากเล่นจริง สมัยนั้นนักแสดงต้องแต่งหน้าเองด้วย อาศัยช่างแต่งหน้ามาช่วยทำให้ดูว่าทำยังไง แล้วค่อยเรียนรู้เอง การเมคอัพต้องเกลี่ยให้เสมอกันบนหน้า ไม่มีอุปกรณ์ ก็ใช้วิธีแต้มเป็นจุดๆแล้วเอานิ้วชี้ค่อยๆเกลี่ยไป เมคอัพสมัยก่อนเหนอะหนะและหนามาก อากาศร้อนมากๆก็ต้องคอยเอาแป้งตบอยู่ตลอดเวลา
เสื้อผ้าที่ใช้ในการแสดง นักแสดงจะเป็นคนออกแบบและจัดหามาเอง พระเอกนางเอกจะมีคนดูแลจัดการให้ ส่วนนักแสดงสมทบทั่วๆไปเขามักไม่ค่อยเน้นยกเว้นเครื่องแต่งกายราคาแพง เช่น สูท ทางผู้จัดหนังก็ต้องหามาให้
ช่วงฮอตๆมีรายได้เข้ามาเยอะไหม
ช่วงนั้นผมไม่ถือว่าตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดังนะ แต่ก็ถือว่ามีงานเข้ามาสม่ำเสมอไม่ขาด จำได้ว่าปี 2518 ค่าตัวผม 20,000 บาท ไม่เยอะถ้าเทียบกับค่าตัวพระเอก เขาเล่นเรื่องนึงเท่ากับผมเล่น 4 เรื่อง ถือว่าค่าตัวแค่ 25 % ของพระเอกด้วยซ้ำ ส่วนมากเงินค่าตัวจะแบ่งเป็น 2 งวด จ่ายครึ่งหนึ่งตอนเปิดกล้อง ถ่ายเสร็จก็จ่ายอีกครึ่งที่เหลือ ถ้าเป็นละครจะจ่ายป็นตอนๆ ยกตัวอย่างละครเรื่องนึงมี 24 ตอน ถ้าบทเยอะหน่อยก็ออกสัก 80 % ของทั้งหมด แต่พระเอกนางเอกออกทุกตอน เขาก็ได้รับ 100 % เต็มๆ
ถึงอย่างนั้นเมื่อมาเทียบกับรายได้คนทำงานออฟฟิศมันเยอะกว่ามาก ก่อนหน้านั้นผมทำงานการไฟฟ้า เงินเดือนสตาร์ท 1,500 บาท เทียบกับรายได้จากการแสดง ผมต้องทำงานเป็นปีกว่าจะได้เท่านี้
แล้วรายจ่ายล่ะ
ในสังคมที่ผมอยู่มันมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ว่าจะเป็นการกินอยู่ การอยู่ร่วมกันมันก็ต้องมีการดูแลคนอื่นบ้าง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่สนุกสนาน อายุสามสิบกว่าๆ พรรคพวกมากมันก็เลยเฮฮามาก กินเหล้าทุกวัน เงินมันหยิบง่าย สะพัด เรียกว่าใช้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะขาดมือ ใช้ของแบรนด์เนม ยุคนั้นแบรนด์แนมก็ยี่ห้อแอโร่เท่านั้นเอง และอีกอย่างผมชอบใช้ของต่างประเทศเพราะคุณภาพสูงกว่าของไทย ไอ้เรานิสัยไม่ดีด้วย เวลาซื้อของจะไม่รู้สึกเลยว่ามันแพง ทั้งที่ไม่ได้มีเงินมากมาย คิดเพียงแต่ว่าเรามีปัญญาจ่าย ถึงขั้นที่ว่าครั้งหนึ่งเคยซื้อรถโดยที่ไม่คิดจะซื้อ ตอนนั้นรถคันเก่ามีปัญหามาก เดินเข้าไปโชว์รูม คันนี้สวยดีโว้ย ซื้อเลย ซื้อเพราะความอยากล้วนๆ
หันกลับไปมองตอนนี้รู้สึกว่า โอ้โห เราประมาทมาก ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย พูดได้ว่าไม่มีเงินเก็บเลย
เปรียบเทียบกับดารายุคนี้แตกต่างกันไหม
เด็กรุ่นใหม่โชคดีที่ขอบเขตงานมันกว้างขึ้น โอกาสมากกว่าคนยุคก่อนเยอะ โดยเฉพาะงานอีเวนท์ งานพรีเซนเตอร์ สองอย่างนี้ทำเงินให้มากมายกว่างานแสดงหลายเท่า สมมติไปงานอีเวนท์ชิ้นนึง แค่ชั่วโมงเดียวมันได้มากกว่าทำงานวันนึงอีกนะ อีกอย่างเด็กสมัยนี้เขาเก่ง มีความคิดอ่านดี หลายคนนำเงินจากการแสดงจากการไปเป็นพรีเซนเตอร์ ไปต่อยอดทำธุรกิจให้เงินมันงอกเงย
ต่างจากสมัยก่อน นักแสดงน้อยคนที่จะทำธุรกิจ บางคนด่านักแสดงยุคก่อนว่าทำไมดูแลตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ตัวเองลำบาก แหม มันจะไปเหลืออะไรล่ะ ค่าใช้จ่ายกับรายได้ที่รับมามันแค่พอมีพอกินพออยู่ได้ ถ้ารู้จักเก็บและไม่ประมาท แต่ทุกคนมักมองไม่เห็นชีวิตคนอื่นหรอกว่าเขามีภาระต้องดูแลคนอื่นอีกกี่คน มีภาระค่าใช้จ่ายอีกตั้งเท่าไหร่
อาชีพนักแสดงไม่มีหลักประกันอะไรทั้งนั้น ไม่มีสหภาพ ทุกคนต้องดูแลตัวเอง สมัยนี้มีประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ถ้ารู้จักลงทุนก็คงไม่ลำบาก เดี๋ยวนี้เวลาได้เงินมาผมหัก 10 % เก็บไว้อีกบัญชีนึง ไม่ไปยุ่งกับมันเลย เก็บออมไว้ไม่อยากให้ลูกหลานลำบาก เวลาเราเป็นอะไรไป เขาจะได้มีเงินทำศพ (หัวเราะ)
อะไรที่ทำให้นักแสดงคนหนึ่งมีงานเข้ามาไม่ขาดสาย
ไม่ใช่แค่เรื่องฝีมืออย่างเดียว ต้องพูดถึงความรับผิดชอบในงานด้วย อาชีพนี้ไม่แน่นอน เพราะฉะนั้นเวลาทำงาน เราต้องมีความรัก ซื่อสัตย์ต่ออาชีพ ต้องทุ่มเทให้กับมัน ทำให้เต็มที่ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปวันๆให้งานมันเสร็จ
นอกจากนี้ต้องเห็นอกเห็นใจผู้ว่าจ้างเราด้วย ไม่ใช่เอาแต่ตัวเองคนเดียวว่าทำไมเขาให้ค่าตัวเท่านั้นเท่านี้ มองในแง่ความเสี่ยง ผู้จัดละคร ผู้สร้างหนังเขาเสี่ยงสูงกว่านักแสดงเยอะ ความเสี่ยงของนักแสดงมีแค่ว่าถ้าวันใดคุณทำงานไม่ได้มาตรฐาน งานคุณก็จะน้อยลง แต่ความเสี่ยงของคนทำหนังทำละคร งานถึงแม้จะออกดีมีคุณภาพ แต่งานไม่ขาย เรตติ้งไม่ดี เขาก็เจ๊ง แล้วคุณจะไม่ให้ใจกับคนจ้างคุณเหรอ คนทำงานด้วยกันมันต้องให้ใจกัน ถ้าคุณให้ใจเขา เขาก็ให้ใจคุณ
การจ้างงานใดๆก็ตาม ถ้าคุณภาพของตัวงานที่คนจ้างได้รับมาเป็นไปตามที่เขาต้องการ งานคุณก็เข้ามาเรื่อยๆ เพราะมีการบอกต่อ สมัยที่ผมมีงานเข้ามาสม่ำเสมอต่อเนื่อง เคยมีผู้กำกับคนหนึ่งบอกว่าที่อยากใช้ผมก็เพราะเวลาทำงานกับผมแล้วมันไปตัดต่อง่าย ไม่มีปัญหา เพราะละครบางเรื่องเขาถ่ายข้ามไปข้ามมา คุณต้องจำให้ได้ว่าเล่นอะไรไว้อยู่ ซึ่งมันมีเยอะแยะมากมาย ตรงนี้เป็นหน้าที่นักแสดงที่จะต้องรับผิดชอบ ถ้าเราเล่นได้ไม่ต่อเนื่อง การตัดต่อก็จะมีปัญหา เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่สอนกันยาก
สุดท้ายอาจารย์สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ครูคนแรกด้านการแสดงของผม สั่งสอนเสมอว่า ในแวดวงนี้ เรื่องอาวุโสสำคัญมาก เจอผู้หลักผู้ใหญ่ เราต้องให้ความเคารพนับถือ ต้องไปลามาไหว้ คนในกองทุกภาคส่วนสำคัญหมด เราต้องให้เกียรติคนทุกคน ไม่ว่าจะเด็กไฟ เด็กเสิร์ฟ เด็กผู้ช่วยช่างกล้อง ถ้าแก่กว่าผมไหว้ทุกคน เพราะถือว่าเขาอาวุโสกว่า ต้องให้เกียรติเขา งานจะดีได้ไม่ใช่เพราะคนๆเดียว แต่ดีได้เพราะทีมงานทุกคน
บนเส้นทางนักแสดงเคยเจอช่วงขาลงบ้างไหม
ชีวิตย่อมมีขึ้นมีลง ธรรมชาติยังมีหน้าฝน หน้าแล้ง หน้าหนาว เราไม่มีวันรู้ว่าวันไหนฝนเยอะ ร้อนเยอะ หนาวเยอะ งานแสดงก็เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าวันไหนมันจะมา วันไหนไม่มา มันไม่เหมือนสินค้าที่จะไปเดินเร่ขายได้ จะให้เดินไปบอกผู้จัดว่าตอนนี้ผมไม่มีงาน ของานหน่อย มันไม่ใช่ มันต้องมีบท มีคาแรกเตอร์ตรง เขาถึงจะมาหยิบคุณไป บางครั้งมีบท มีคาแรกเตอร์ตรง แต่เขาอาจไม่นึกถึงคุณก็ได้ เพราะว่าขาดการติดต่อ มองไม่เห็นกัน การเป็นนักแสดงมันยากตรงนี้ ฉะนั้นการที่จะทำให้คนนึกถึง ทำให้คนเห็น คุณต้องมีคอนเนกชั่น และไม่ใช่คอนเนกชั่นในแวดวงเดียวกัน มันต้องกว้างออกไปในหลายวงการ
การไปของานใครมันไม่น่าเกลียดหรอก ถ้าคุณรู้จักผู้กำกับ รู้จักผู้จัดละคร แต่ในแง่ความรู้สึก เราไม่ควรไปเป็นภาระให้เพื่อนฝูงลำบากใจ อย่าให้เขาเอาเรามาเล่นเพราะว่า เฮ้ย ช่วยมันหน่อย สงสารมัน นอกจากว่ามีบทเหมาะค่อยมาทำงานด้วยกัน แบบนี้มันสบายใจกว่า
ผมเคยไม่มีงานอยู่ 4-5 เดือน ใจแป้วเหมือนกันนะ ถึงจะไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่คนเคยทำงานมาตลอดมันใจหาย ไม่ได้เดินเข้าไปในกองถ่าย ไม่มีคนมาบอก 5 4 3 2 แอคชั่น ช่วงนั้นจำได้ว่ามีหนังมีละครเกี่ยวกับวัยรุ่นเยอะมาก เด็กตัวกระเปี๊ยกทั้งนั้น บทที่เป็นผู้ใหญ่มันไม่ค่อยมี ขนาดบทพ่อแม่ยังเด็กกว่าเราเลย เรามันรุ่นปู่รุ่นตาแล้ว พอไปเจอนักแสดงรุ่นเดียวกันก็คุยกันว่าเฮ้ย มันก็เป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวไม่นานงานมันก็มา
ยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งหาบทยากจริงไหม
เกี่ยวนะครับ โดยตัวเรื่องมันไม่ค่อยมีตัวละครหลักที่อายุเยอะๆหรอก นานๆทีถึงจะมี แล้วในความเป็นจริงคงไม่มีใครอยากดูเรื่องของคนแก่ เพราะมันไม่สนุกสนานน่าดูสักเท่าไหร่ โอกาสมันก็เลยน้อยลง ไม่ว่าจะหนังหรือละคร ไปดูได้เลยว่าเขาจะเล่าตัวหลักเยอะๆ แล้วเอาตัวรองมาสนับสนุน ยิ่งเป็นผู้ใหญ่อย่างพ่อแม่ปู่ย่าตายายก็จะยิ่งเบาบางลง
ทำใจยอมรับได้ไหม
ผมยอมรับได้มาตั้งนานแล้ว เพราะรู้ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนอยู่แล้วในโลกนี้ ผมเป็นคนเคารพปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันได้ และมองเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง
เคยได้ยินพระเอกรุ่นพี่คนหนึ่งเล่นละครแล้วรับเงินค่าตัว แกเดินมาพูดกับผมว่าคุณดูสิมันให้พี่แค่นี้เอง ผมอยากจะบอกไปว่าก็พี่ไม่ได้เป็นพระเอกแล้วนะ แต่ก็ไม่กล้า หรืออยากจะพูดว่าพี่ก็ได้เท่าผม แต่ก็พูดไม่ได้ เลยบอกไปว่าพี่ อย่าคิดมากเลย คิดเสียว่าออกจากบ้านมาเจอเพื่อนสนุกๆ ดีกว่านั่งอยู่ในบ้านเฉยๆ
ในแวดวงฮอลลีวู้ดก็มีให้เห็นเยอะแยะ ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของดัสติน ฮอฟแมน เขาเคยเป็นพระเอกโด่งดัง ภายหลังมารับบทเล็กๆเขายังพูดถึงค่าตัวที่ลดลงมาและยอมรับได้ว่าทุกวันนี้เขาไม่ได้เป็นจุดขาย จะได้เท่าพระเอกได้ยังไง เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าคุณต้องอยู่กับปัจจุบันไงครับ อย่าไปหลง เมื่อวานกับวันนี้ไม่เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่ว่าวันนี้คุณยอมรับได้ไหม
รู้สึกยังไงทุกครั้งเวลาที่เห็นข่าวเพื่อนร่วมอาชีพมีปัญหา
รู้สึกเป็นห่วงเขานะครับ ถ้ามีโอกาสก็จะให้เพื่อนๆช่วยกันดูแล ดูแลกันในลักษณะที่ว่าเจือจานกัน ช่วยเหลือกันไปในเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ บางทีเจ็บป่วยก็ช่วยหาโรงพยาบาลให้ แต่มันไม่สามารถที่จะช่วยเรื่องงานได้เลย เพราะบางครั้งก็อยู่ที่ตัวเขาด้วยเหมือนกัน บางคนผมเคยแนะนำงานให้แล้วคนอื่นส่ายหัว เพราะไปทำงานให้เขาได้ไม่เต็มที่ ไม่รับผิดชอบงาน เราไม่รู้ว่าไม่เต็มที่เพราะสภาพร่างกายหรือจิตใจ บางทีมันอุ้มไม่ไหวมันก็ต้องวางเอาไว้เหมือนกัน แหม มันเหลือเข็น สมมติว่าเขานัดคุณทำงานตอน 8 โมง รอจน 10 โมง จนเที่ยงคุณก็ยังไม่มา แถมหายไปไม่ส่งข่าว ถ้าเจ็บป่วยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าสำมะเลเทเมาแล้วลุกมาทำงานไม่ได้ แบบนี้ก็ไม่ไหว
คนเกเรมันมีทุกวงการ แล้วพวกเราก็ใจดี บางทีขอแล้วมันได้ สบาย อาทิตย์นี้ขอคนนี้ อีกอาทิตย์ไปขออีกคนแล้ววนเวียนไปเรื่อย วงการนี้คนเยอะ เดือนนึงไม่ต้องทำงานยังได้เลย แต่ทำบ่อยๆความลับมันจะเปิดเผยเองว่าคุณเกเร คุณขี้เกียจทำงาน คุณเล่นการพนัน นานๆทีก็จะมีคนแปลกๆอย่างนี้เข้ามาเหมือนกัน ทุกคนส่ายหน้ากันหมด
ได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้น
ภาพเหล่านี้มันบอกเราว่าไม่ควรประมาท ไม่ควรที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัว มองตัวเองสมัยหนุ่มๆก็เสียดายเวลานะ ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ไม่กินเหล้าเมายา ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปจากตอนนี้เยอะ ร่างกายที่คิดว่าแข็งแรงมันก็น่าจะดีกว่านี้ ผมถือว่าตัวเองไม่ได้แข็งแรงมากมาย แต่โชคดีที่เราออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่มันก็ยังมีอยู่ที่มานั่งคิดว่ามันควรจะดีกว่านี้
ส่วนเรื่องการเก็บเงิน ทุกอาชีพจำเป็นทั้งนั้นแหละ การใช้เงินมันต้องมีวินัย มันต้องเก็บ การเก็บเงินไม่ใช่ว่าคุณหาได้มาก แต่มันอยู่ที่คุณจะเก็บหรือเปล่า ถ้าเราเก็บสม่ำเสมอ จากน้อยก็จะกลายเป็นมาก มากน้อยแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนแสนนึงถือว่าเยอะ บางคนล้านนึง บางคนต้องสิบล้าน บางคนต้องร้อยล้าน ขึ้นอยู่กับสถานภาพของแต่ละคน ถ้าคุณเก็บออมตามสถานภาพของคุณ คุณก็อยู่ได้
ข่าวนักแสดงรุ่นพี่ไพโรจน์ ใจสิงห์ล้มป่วย คนในวงการช่วยเหลือกันยังไง
กรณีอาไพโรจน์ ผมว่าเป็นเรื่องสุขภาพจริงๆ แกทำงานมามาก และเป็นที่รักของเด็กๆทุกคน แกเป็นคนสู้นะ พยายามทำของมาขาย แบบนี้เราก็ต้องดูแล ช่วยๆกันไปหลายๆแรง โรงพยาบาล หรือกลุ่มแพทย์ต่างๆเขาก็ยินดีจะช่วยเหลืออยู่แล้ว ในแวดวงพวกเราไม่มีใครใจดำที่จะไม่ลงไปเหลียวแล โดยธรรมชาติ นักแสดงทั้งหมดไม่ว่าจะค่ายไหน ช่องไหน มันมีความเป็นพี่เป็นน้อง ยิ่งพอมาอยู่ด้วยกันก็เลยเหมือนเป็นญาติกัน เหมือนครอบครัวเดียวกัน มีความเป็นห่วงเป็นใยกัน
ตอนนี้มีมูลนิธิสวัสดิการนักแสดงอาวุโสที่ดูแลได้ดีเลย มูลนิธินี้ก่อตั้งมานานแล้ว มีการจัดกิจกรรมหารายได้บ่อยๆ เพื่อนำเงินไปช่วยดูแลค่าใช้จ่าย ช่วยจัดหาโรงพยาบาลให้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย
พูดถึงเรื่องอายุอานาม สุขภาพตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
อายุปูนนี้ไม่ต้องไปหมอ ถือว่าประเสริฐแล้ว (หัวเราะ) ทุกวันนี้ถ้าเข้าโรงพยาบาลมีแค่อุบัติเหตุอย่างเดียว โรคประจำตัวไม่มี ความดัน ไขมัน เบาหวานไม่มี การออกกำลังกายวิเศษที่สุดแล้ว ผมถึงชวนคนโน้นคนนี้มาปั่นจักรยานกันเยอะๆ บางคนป่วยเป็นโรคความดัน เป็นหอบหืด เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหาหมอแล้ว
อาชีพนี้มีวันเกษียณอายุไหม
ไม่มีหรอก เพราะมันจะมีบทต่างๆเข้ามาอยู่เรื่อยๆ อยู่ที่ว่าคุณยังทำงานไหวหรือเปล่า ไหวในที่นี้ไม่ใช่แค่ว่าคุณเดินได้ แต่คุณต้องจำบทได้ คุณต้องให้ความมั่นใจต่อผู้ว่าจ้างได้ว่าจะสามารถเล่นอยู่ได้จนจบ ไม่ใช่เล่นๆอยู่แล้วเกิดเป็นอะไรไป
ผมไม่เคยคิดรีไทร์ งานตรงนี้มันมีเสน่ห์คือ ทำให้คนอื่นมีความสุข เวลาเราเห็นงานที่เราทำซึ่งเป็นงานดีๆ ผ่านไปหลายสิบปีก็ยังอยู่ มันน่าภาคภูมิใจ หนังบางเรื่องเราแสดงมา 20 ปีแล้ว แต่เด็กเรียนฟิล์มเขายังหยิบมาศึกษาเรียน มันชื่นใจครับ
คำถามสุดท้าย ตลอดชีวิตเส้นทางนักแสดงกว่า 40 ปี อยากจะบอกอะไรกับนักแสดงรุ่นหลัง
ผมไม่กล้าที่จะสอนใคร แต่อยากแนะนำทุกคนในอาชีพนี้ ไม่ว่าจะรุ่นใหม่รุ่นเก่าว่า เวลาทำงานขอให้นึกถึงอกเขาอกเรา นึกถึงคนที่จ้างเราด้วยว่าเขาต้องรับผิดชอบมากกว่า เขามีความเสี่ยงมากกว่า ในแง่ของการลงทุนขอให้นักแสดงทุกคนตระหนักว่าเจ้าของหนัง เจ้าของละครเขาลงทุนมากว่าเรา เราเป็นคนรับจ้างทำงาน เขาลงทุนเป็นสิบล้าน คุณแค่ลงแรง เอาแรงกับเอาสมองมาทำงานให้กับเขา คุณคิดเอาเองแล้วกันว่าคุณจะทำตัวยังไงและจะทำงานเต็มที่แค่ไหน
อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท เพราะโอกาสดีๆในชีวิตมันมาแค่ครั้งดียว โอกาสที่สองก็ไม่ดีเท่าโอกาสแรกที่คนอื่นเขาหยิบยื่นให้คุณหรอก
สำคัญที่สุด จงตระหนักว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด


