แจงขโมยปลาเผายอมความไม่ได้-ผู้เสียหายต้องการดำเนินคดี
ทนายแจงคดีลักทรัพย์ยอมความไม่ได้ หลังโลกออนไลน์วิจารณ์คดีขโมยปลาเผา ตร.ยันผู้เสียหายต้องการดำเนินคดี
ทนายแจงคดีลักทรัพย์ยอมความไม่ได้ หลังโลกออนไลน์วิจารณ์คดีขโมยปลาเผา ตร.ยันผู้เสียหายต้องการดำเนินคดี
กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางสำหรับกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชายวัย 37 ปีหลังก่อเหตุขโมยปลาเผา 1 ตัวจากร้านอาหารย่านถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล และเจ้าของร้านได้ยืนยันที่จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เนื่องจากที่ผ่านมาผู้ต้องหาเคยเป็นอดีตลูกจ้างในร้านและมักลอบเข้ามานำเบียร์และอาหารในร้านมาดื่มกินหลังร้านปิดหลายครั้ง
ทั้งสมาชิกสังคมออนไลนบางส่วนได้ตั้งข้อสังเกตว่า ทรัพย์ที่ขโมยมีราคาเพียงเล็กน้อยทำไมเจ้าหน้าที่ต้องแจ้งข้อหาหนัก และคดีดังกล่าวสามารถยอมความได้หรือไม่
โพสต์ทูเดย์ได้สอบถามไปยัง วิรัช หวังปิติพาณิชย์ ทนายความชื่อดัง ซึ่งได้ให้ความเห็นว่า คดีนี้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 ฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 พัน และ มาตรา 336 ฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท
ทั้ง 2 คดีนี้หากมีการแจ้งความแล้ว ไม่สามารถยอมความได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องส่งฟ้องศาลดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม หากการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำโดยจำใจ หรือยากจนเกินทนทาน และทรัพย์นั้นมีราคาเล็กน้อย ผู้กระทำผิดไม่เคยกระทำผิดมาก่อน ก็อาจได้รับการลดโทษเหลือแค่รอลงอาญา คุมประพฤติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
ขณะที่ ร.ต.ท.ฌาณมณฑล แก้วพรหม หัวหน้าสายตรวจ สน.เทียนทะเลเจ้าของคดี ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ว่า กรณี เกิดเหตุวิ่งราวทรัพย์ ปลาเผา เหตุเกิดที่ร้านทะเลในสวนพื้นที่ สน เทียนทะเล เมื่อวันที่ 3 พ.ค 2558 เวลา 20.30 น.เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งอาจจะมองว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใจดำใจร้ายเกินไปที่แจ้งข้อหาหนัก และทรัพย์มีราคาแค่เล็กน้อยขอชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
ผู้ต้องหาเคยเป็นลูกน้องเจ้าของร้าน มีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยทรัพย์สินของผู้เสียหายหลายครั้งจนเจ้าของร้านหรือผู้เสียหายไล่ออก ไม่เอาเรื่องกับการกระทำที่ผ่านมา
วันเกิดเหตุผู้ต้องหาเมาสุราเข้ามาก่อกวนในร้านถือวิสาสะเข้าไปกินเหล้ากินอาหารกับลูกค้า โดยไม่รู้จักกันทำให้ลูกค้าไม่พอใจจนหนีออกจากร้าน และผู้ต้องหาได้หยิบปลาเผาต่อหน้าผู้เสียหาย (ป.อาญา ม.336 ผู้ใดลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยฉกฉวยซึ่งหน้าผู้นั้นกระทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ป.อาญา ม.334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไป หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำผิดฐานลักทรัพย์ คำว่าเอาไปคือทำให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่จากจุดเดิม) ที่กำลังย่างอยู่หน้าร้านไปแล้วเดินหลบหนีไปจากร้าน จนผู้เสียหายรู้สึกถูกข่มเหงเหลืออดทนไม่ไหว จึงแจ้ง เจ้าหน้าที่ดำเนินการ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการ อาจจะมีความผิด ตาม ป.อาญา ม.157 ( ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ) และผู้เสียหาย( ป วิ อาญา มาตรา 2(4) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดั่งที่ได้บัญญัติไว้ใน มาตรา 4,5และ6 ) ได้มาแจ้งความหรือร้องทุกข์ ( ป วิ อ.มาตรา 2(7) ) คำร้องทุกข์ คือการที่ผู้เสียหายกล่าวหาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น ไม่ว่าจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งการกระทำความผิดนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย โดยมีเจตนาให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ)
อนึ่ง จาก กรณีศึกษา ดังกล่าว เชื่อว่าถ้าผู้ก่อเหตุกระทำไปด้วยความยากจนข้นแค้นหรือหิวข้าว เจ้าของร้านคงจะเมตตาให้กินฟรีโดยไม่ถือสาหาความ แต่พฤติกรรม ที่ผู้ก่อเหตุกระทำต่อผู้เสียหาย ที่ผ่าน สะสม จน เกินจะอดทน จึงได้ใช้สิทธิ ดำเนินคดีอาญา กับผู้ก่อเหตุ (ป.วิ.อาญา มาตรา 28 บัญญัติว่า “บุคคล เหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล (1) พนักงานอัยการ (2) ผู้เสียหายเพื่อหยุดยั้งพฤติกรรม กำเริบ เสิบสาน อหังการ ของ ผู้ก่อเหตุ ไม่ให้มาก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อผู้เสียหายต่อไปในอนาคต"
จากกรณีที่เกิดขึ้น กระผมในฐานะ หัวหน้าสายตรวจ (ร้อยเวร20) รู้สึกตกใจที่มีการแชร์เรื่องราวดังกล่าวมากมายในไลด์กลุ่มต่างๆ และกระแสตีกลับเหมือนจะมองภาพตำรวจติดลบ จึงได้แจ้งที่มาที่ไป ของเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นการอธิบายการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้แก่ผู้ที่ไม่รู้ ไม่เข้า หรือเข้าใจผิด เพื่อเป็นการเข้าใจที่ถูกต้องต่อไปครับ


