posttoday

ท่าอากาศยานในประเทศไทย

28 เมษายน 2558

โดย...ม.ล.สุรวุฒิ ทองแถม

โดย...ม.ล.สุรวุฒิ ทองแถม

ในปัจจุบันจำนวนท่าอากาศยานในประเทศไทย เท่าที่ผมพอจะรวบรวมสถิติตัวเลขได้นั้น มีด้วยกันทั้งหมด 57 แห่ง เป็นระดับนานาชาติที่ดูแลรับผิดชอบบริหารจัดการโดยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยมีด้วยกัน 6 สนามบิน คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต และหาดใหญ่

ท่าอากาศยานพาณิชย์ ที่เป็นของเอกชนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ก็คือสนามบินสมุย ตราด และสุโขทัย ซึ่งเป็นของบริษัท การบินกรุงเทพ ท่าอากาศยานทหารกึ่งพาณิชย์มีแห่งเดียว คือ สนามบินอู่ตะเภา ที่ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลโดยกองทัพเรือ นอกจากนั้นหากไม่รวมสนามบินที่ดำเนินงานโดยกรมการบินพลเรือน ก็จะเป็นสนามบินทหารทั้งสามเหล่าทัพกับท่าอากาศยานอีกประเภทหนึ่ง คือสนามบินสำหรับฝึกบินหรือสนามบินสำหรับรองรับเครื่องบินส่วนตัวขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวนในปัจจุบันทั้งสิ้น 19 สนามบินครับ

แต่ที่น่าสนใจและจะมีผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก คือท่าอากาศยานในสังกัดของกรมการบินพลเรือน มีสนามบินที่มีอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบและดูแลทั้งสิ้น 28 แห่งครับ ก่อนที่จะพิจารณาในข้อเท็จจริงที่ผมเขียนว่าจะมีผลต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยนั้น ผมได้คัดลอกขอบข่ายหน้าที่และความรับผิดชอบในปัจจุบันของกรมการบินพลเรือนมีดังนี้ครับ

ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ กฎหมายว่าด้วยความผิดบางประการ ต่อการเดินอากาศ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการบินพลเรือนของประเทศ ส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายระบบการขนส่งทางอากาศ อุตสาหกรรมการบินและการบินพลเรือน

ดำเนินการจัดระเบียบการบินพลเรือน กำหนดมาตรฐาน กำกับ ดูแลและตรวจสอบการดำเนินการด้านการบินพลเรือน จัดให้มีและดำเนินกิจการท่าอากาศยานในสังกัดกรม ร่วมมือและประสานงานกับองค์การหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศในด้านการบิน พลเรือน และในส่วนที่เกี่ยวกับอนุสัญญาและความตกลงระหว่างประเทศ

ปฏิบัติการอื่นใด ตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรม หรือตามที่กระทรวง หรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

จะเห็นได้ว่าแนวทางปฎิบัติของกรมการบินพลเรือน ในเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจท่าอากาศยานนั้น ยังอยู่ในกรอบระเบียบของระบบราชการไทยแท้ๆ ครับ ดูง่ายๆ ก็ได้ครับ ขอบเขตการทำงานและความรับผิดชอบ ไม่ได้มีแนวทางในการพัฒนาการให้บริการแก่ผู้โดยสารสนามบินมากนัก ซึ่งอาจจะไม่ค่อยมีการสร้างสรรค์ความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยวที่จะมีจำนวนมากขึ้นในอนาคตได้ดีพอ

รวมทั้งศักยภาพด้านขีดความสามารถในการแข่งขันในแบบเชิงรุก กับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดต่อกัน หรือแม้กระทั่งไม่มีแผนงานในการดำเนินการ เพื่อการขยายตัวของส่วนบริการในด้านต่างๆ ของสนามบิน ที่จะต้องสามารถรองรับจำนวนเที่ยวบินจากต่างประเทศ ที่ต้องการบินตรงเข้ามาเพื่อการท่องเที่ยว และดำเนินธุรกิจในเขตเศรษฐกิจพิเศษ นิคมอุตสาหกรรม ในอนาคต อาทิ สนามบินกระบี่ อุดรธานี หรือแม่สอด เป็นต้น

ตามปกติแล้ว ในการดำเนินธุรกิจท่าอากาศยานนั้น ควรจะเน้นให้ความสำคัญของยุทธศาสตร์ในการแข่งขันช่วงชิงความเป็นศูนย์กลางการบินหรือ Hub เป็นเป้าหมายสูงสุดครับ ซึ่งทำเลที่ตั้งของราชอาณาจักรไทยเรานั้น ตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ก็เป็นอย่างที่เราท่านต่างทราบกันดีอยู่ครับว่า ในทุกๆ ภาคของประเทศ ต่างก็มีความได้เปรียบแถมยังมีศักยภาพสูงในธุรกิจการบิน เพื่อเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางอากาศ ทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าครับ โดยเฉพาะความสามารถในการเชื่อมโยงขอบเขตการพัฒนาระบบ Logistic ของประเทศ เพื่อการแข่งขันในการค้าในระดับโลกทั้งปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งการที่จะเป็นประตูการค้าการท่องเที่ยวสู่ประเทศในกลุ่มอินโดจีนและอาเซียนครับ

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็เพียงเพื่ออยากให้ท่านข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องระดับสูงในการดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการท่าอากาศยาน ลองพิจารณาแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือโยกย้ายสนามบินบางแห่ง เข้ามาให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญกว่าในภาครัฐ เข้ามาดูแลและจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการสนามบิน ให้มีการให้บริการทันสมัย มีมาตรฐานสากล มีเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน เช่นเดียวกับสนามบินนานาชาติทั่วไป ในทัศนะผมนั้น ถึงเวลาแล้วครับที่เราควรพิจารณายกระดับและขีดความสามารถของท่าอากาศยานหลายแห่งในประเทศของเราให้อยู่ในระดับเดียวกันกับ
ท่าอากาศยานนานาชาติ เชียงใหม่ ดอนเมือง ภูเก็ต หรือหาดใหญ่ได้แล้วครับ

ในปัจจุบัน สนามบินหลายแห่งที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย แต่มีจำนวนผู้โดยสารขึ้นลงสูงเกือบหรือมากกว่าหนึ่งล้านคนต่อปี ตลอดในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมา รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีอัตราการเติบโต ของจำนวนสายการบินระหว่างประเทศ และผู้โดยสารระดับนานาชาติมากขึ้น อาทิ สนามบิน กระบี่ อุดรธานี สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และอุบลราชธานี เป็นต้น

หากต้องการให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมกระแสหลัก ในการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศอย่างยั่งยืน ผมคิดว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการท่าอากาศยานในประเทศให้มีความทันสมัย ความรวดเร็วในการให้บริการ รวมไปถึงความปลอดภัยสูงสุดแก่สายการบิน ผู้โดยสาร โดยการพิจารณาเปลี่ยนแปลงโอน ให้คณะผู้บริหารงานสนามบินระดับนานาชาติ จากองค์กรที่มีประสบการณ์ มีความคล่องตัวและไม่ยึดติดระบบราชการมากนัก น่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญระดับต้นๆ ของการช่วยสนับสนุนเกื้อกูลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยทั้งระบบได้ดีมากทีเดียวครับ

ข่าวล่าสุด

พลังงานคุมเข้มแท่นขุดเจาะอ่าวไทย สกัดโดรนป่วน ไม่กระทบการผลิต