หลวงปู่ดูลย์กับไอน์สไตน์
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 60 ปีการจากไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2558 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 60 ปีการจากไปของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่ผมพยายามทำความเข้าใจทฤษฎีของเขามาตั้งแต่ยังละอ่อนจนตอนนี้ก็ยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เมื่อศึกษาไปนานๆ เข้าก็เริ่มเห็นความคล้ายคลึงระหว่างทฤษฎีสัมพัทธภาพกับอภิปรัชญาของศาสนาพุทธ ซึ่งช่วยอย่างมากในการทำให้ผมเข้าใจจุดร่วมระหว่างจิตนิยมของพุทธศาสนาและวัตถุนิยมของวิทยาศาสตร์
ไอน์สไตน์ เคยบอกว่า ศาสนากับวิทยาศาสตร์มีแนวทางที่แตกต่างกัน แต่เขาหวังใจว่าสักวันทั้ง 2 แนวทางจะเข้าถึงกันและกันได้เพื่อความสมบูรณ์แบบของกันและกัน อย่างที่เขาว่า “วิทยาศาสตร์ที่ไร้ศาสนาก็เป๋ ศาสนาไร้วิทยาศาสตร์ก็งมงาย”
ทุกวันนี้มีคนบอกว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ผมเองไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปนี้ เพราะวิธีวิทยาของทั้ง 2 แนวทาง “ยัง” ต่างกัน เหมือนไอน์สไตน์ว่า แต่ความต่างนั้นเติมเต็มกันได้ ไม่ใช่เพื่อหักล้างกันและกัน เหมือนพวกพุทธสายวิทยาศาสตร์หัวรุนแรง (ฟันดาเมนทัลลิสต์) จ้องจะทำลายฝ่ายจิตนิยม ว่า “งมงาย” ขณะที่ฝ่ายจิตนิยมฟันดาเมนทัลลิสต์ก็ไม่มักชูธง “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
ผมคิดว่าหนึ่งในชาวพุทธที่เข้าในไอน์สไตน์มากท่านหนึ่ง คือ พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) ท่านว่าไว้ว่า
“ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้ ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้ ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์มีความรู้มาก มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุดจนเข้าถึงมิติที่ 4 แล้ว แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้าพระนิพพานไม่ได้ จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม เป็นไปเพื่อความดับทุกข์เป็นไปเพื่อนิพพาน”
แปลกมากนะครับหลวงปู่ดูลย์ ท่านอยู่วัดบ้านนอกแท้ๆ ยังรู้จักไอน์สไตน์ ทั้งยังวิจารณ์ได้อย่างสมเหตุผล ซึ่งคำวิจารณ์ของท่านส่วนตัวผมไม่คิดว่าเป็นการดิสเครดิตวิทยาศาสตร์ แต่เป็นการชี้ว่า วิทยาศาสตร์ยังขาดความสนใจเรื่องจิต ด้วยไอน์สไตน์รู้ถึงสุดของวัตถุ คือ “รูป” รูปวิธีแยกรูป แต่ยังไม่เข้าถึง “นาม” คือปรากฏการณ์แห่งจิต
พุทธศาสนาเหมือนวิทยาศาสตร์ตรงที่มีการแยกรูป (สังขาร) สสาร (ธาตุ) แต่หากข้าถึงนาม (จิต/วิญญาณ - หมายถึงตัวรับรู้ไม่ใช่ผีสางที่ไหน) เมื่อไหร่จะรู้ว่า มิติที่ 4 ที่ไร้กาละ และเทศะ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพนั้นเป็นอย่างไร นั้นหมายถึงอะไรกันแน่
ไอน์สไตน์เองไม่ได้คัดค้านจิตนิยม จริยธรรม หรือค่านิยมทางศาสนา ตรงกันข้ามเขาบอก “ผู้ที่รู้แจ้งในทางศาสนาสำหรับผมแล้ว เป็นบุคคลที่เข้าถึงศักยภาพที่สุดของตน ปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการ (fetters - พุทธแปลว่า นิวรณ์) และความทะยานอยากที่เห็นแก่ตนซึ่งครอบงำความคิด เขาผู้นั้นจะมีสำนึกและมุ่งมาดในเป้าหมายที่อยู่เหนือค่านิยมอิงกับอัตตา”


