เหตุผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
โดย...ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข
โดย...ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข
คงจะเป็นเรื่องที่มีหลายท่านเกิดความสงสัยและไม่เข้าใจกันอยู่พอสมควรว่า ด้วยเพราะอะไรรัฐจึงต้องมีแนวความคิดว่าควรจะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้ข้อสรุปลงไปว่า รัฐมีความต้องการรายได้เพิ่ม และภาษีประเภทนี้เป็นรายได้หลัก ก็เลยต้องปรับอัตราการจัดเก็บให้สูงขึ้น รัฐจะได้รายได้เพิ่มขึ้นมากๆ แต่แท้จริงแล้วยังมีเหตุผลที่เป็นฐานสำคัญของการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอีกหลายประการด้วยกันที่น่าจะได้มีการทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนโดยทั่วไปได้เห็นถึงความสอดคล้องและความเหมาะสมในการปรับเปลี่ยนดังกล่าว (ซึ่งน่าจะดีกว่าการปล่อยให้ประชาชนโดยส่วนใหญ่ของประเทศเข้าใจว่าเป็นการรีดเงินภาษีจากประชาชน)
มาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นตามคุณภาพของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจที่สูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนของทรัพยากรที่ใช้ในกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ (หมายถึงต้นทุนค่าเสียโอกาส) โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นทุนทางด้านแรงงาน ทำให้มีความจำเป็นต้องจัดเก็บภาษีจากการบริโภคมากขึ้น เพื่อเป็นการรับประกันมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการให้ดี หรือดีขึ้นเรื่อยๆ และทำนุบำรุงให้มีความยั่งยืนในการใช้ทรัพยากรการผลิตของประเทศ ซึ่งหมายถึงการทำให้มีทรัพยากรการผลิตอย่างเพียงพอ และเกิดการใช้ทรัพยากรการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออัตราการจัดเก็บภาษีสำหรับการบริโภคไม่ได้อยู่ในอัตราที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ก็มีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมมากขึ้น (ในที่นี้ยังไม่ได้พูดถึงประเด็นในเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีที่จัดเก็บ ภาษีที่จัดเก็บได้นั้น รัฐสามารถนำไปสร้างหรือก่อให้เกิดผลตามเหตุผลที่จัดเก็บหรือไม่ และอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ฯลฯ) ประเด็นที่จะพูดคุยกันนี้ เป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์ของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมักจะเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่ารัฐจัดเก็บภาษีเพียงเพื่อต้องการรายได้ และเมื่อเข้าใจเหตุผลของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะสามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจได้ว่า สมควรหรือไม่สมควรที่จะได้มีการพิจารณาเพื่อปรับปรุงอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และประชาชนโดยทั่วไป (ในฐานะผู้บริโภค) จะมองเห็นถึงบทบาทหน้าที่ในการตรวจสอบดูแลให้การนำเงินภาษีที่จัดเก็บได้ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศ
หลักในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มใช้หลักการผู้ได้ประโยชน์ (ซึ่งในที่นี้หมายถึง การได้ประโยชน์จากการบริโภค) เป็นผู้จ่าย ดังนั้น นัยสำคัญของการปรับเปลี่ยน (เพิ่มขึ้น) ของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มน่าจะอยู่บนฐานของเหตุผลดังนี้
1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บนั้น ส่วนหนึ่งเป็นค่าบริการสาธารณะที่รัฐเป็นผู้จัดหาบริการให้กับคนทุกคนในระบบเศรษฐกิจ (ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนต่างชาติ ดังนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เก็บจากการบริโภคจึงเก็บกับทุกคนที่มีกิจกรรมการบริโภคในประเทศ) เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนภาคการผลิตในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนน ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการผลิตสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการกำกับดูแลคุณภาพสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐานที่ดีและสูงขึ้นเพื่อการบริโภคของผู้บริโภค ซึ่งทำหน้าที่โดยรัฐ และรัฐก็จะอาศัยรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้เพื่อการดำเนินการดังกล่าว ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจของประเทศมีการพัฒนามากขึ้น มีความจำเป็นและมีความต้องการบริการสาธารณะเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น รัฐก็มีภาระต้องขยายการให้บริการสาธารณะเหล่านี้ให้มากขึ้นไปด้วย จึงจำเป็นต้องจัดหารายได้มาเพื่อการสร้าง พัฒนา และปรับปรุงการให้บริการสาธารณะเหล่านี้ให้ดีๆ ยิ่งขึ้นไปอีก (แต่จะดีขึ้นมากน้อยเพียงใด เป็นที่พออกพอใจหรือไม่ อย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของทุกท่านในฐานะที่เป็นผู้บริโภคและต้องเสียภาษีนี้ จะต้องเป็นผู้คอยติดตามตรวจสอบการทำหน้าที่ของรัฐต่อไป)
2) ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่เก็บบนฐานของการบริโภค เมื่อโครงสร้างการผลิต และลักษณะ (ประเภท) ของสินค้าที่บริโภคเปลี่ยนไป การใช้ทรัพยากรการผลิตก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทำให้อัตราภาษีที่จัดเก็บบนฐานการบริโภคต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย เช่น ถ้าประเทศหนึ่งหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นทางด้านมลพิษที่เกิดจากการผลิตมากขึ้น การบริโภคสินค้าที่ผลิตขึ้นในระบบเศรษฐกิจนั้นย่อมต้องมีการจัดเก็บภาษีมากขึ้น หรือต้องจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ทรัพยากรการผลิตของประเทศในการตอบสนองต่อมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น ดีขึ้น
3) ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีที่มีฐานภาษีชัดเจน มีความเป็นธรรมในการจัดเก็บ (คือ จัดเก็บกับกิจกรรมการบริโภค ใครบริโภคมากก็จ่ายมาก ใครบริโภคน้อยก็จ่ายน้อย) และมีช่องทางในการหลบเลี่ยงได้น้อยกว่า (โดยเปรียบเทียบกับการจัดเก็บภาษีประเภทอื่น เช่น ภาษีเงินได้ ฯลฯ) การทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐในรูปของภาษีโดยส่วนใหญ่มาเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาษีมาเป็นการจัดเก็บภาษีประเภทที่มีความเป็นธรรมในการจัดเก็บมากกว่า) ย่อมเป็นการสนับสนุนการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดขึ้นจากการบิดเบือนจากการจัดเก็บภาษีและการใช้มาตรการของภาครัฐในการยกเว้นภาษี
คำถามในการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้นนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นเพียงแค่รัฐจำเป็นต้องจัดเก็บรายได้ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อภาระการใช้จ่ายของรัฐที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงเรื่องประเภท ลักษณะ และคุณภาพของการให้บริการสาธารณะ (หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น) ที่ประชาชนของประเทศที่มีระดับของการพัฒนาที่สูงขึ้น (อยาก) จะเรียกร้องจากภาครัฐ ซึ่งการตอบสนองต่อความต้องการนั้น ก็จำเป็นจะต้องยอมรับภาระทางด้านค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนั้น ประโยชน์ที่ได้จากการทำความเข้าใจเหตุผลของการจัดเก็บภาษีของรัฐที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การทำให้เกิดความตระหนักว่ามาตรการประเภท “แจกฟรี” ต่างๆ หลายมาตรการที่ได้มีการดำเนินการมานั้น ล้วนแต่ไม่ได้เป็นของฟรี เพียงแต่มี “คนอื่น” เป็นคนจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านั้นแทนเท่านั้นเอง ก็จะเป็นการดีถ้าประชาชน (ในฐานะผู้บริโภค) จะได้เกิดความรู้สึกหวงแหนเงินของท่านเองที่รัฐจัดเก็บไปในรูปของภาษีมูลค่าเพิ่ม จะได้ช่วยกันติดตามสอดส่องดูแลว่าการใช้จ่ายของรัฐนั้นสอดคล้องกับการตอบสนองความต้องการของท่านตามเหตุผลของการจัดเก็บภาษีหรือไม่ ก็น่าจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะยกระดับมาตรฐานทางการคลังของประเทศได้ทางหนึ่งด้วย


