posttoday

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา นำ ‘ศิริราช’ มุ่งสู่สากล

22 มีนาคม 2558

ท่ามกลางวิวาทะความขัดแย้งในระบบสาธารณสุข การขยายตัวของโรงพยาบาลเอกชน และการอุบัติของโรคใหม่ๆ

โดย...พิเชษฐ์ ชูรักษ์ / สุภชาติ เล็บนาค

ท่ามกลางวิวาทะความขัดแย้งในระบบสาธารณสุข การขยายตัวของโรงพยาบาลเอกชน และการอุบัติของโรคใหม่ๆ ที่สลับซับซ้อนมากขึ้น “ศิริราช” ในฐานะโรงเรียนแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหน่วยบริการที่มีผู้ใช้บริการมากที่สุดของประเทศ ต้องปรับตัวเองครั้งใหม่ เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นสถาบันการแพทย์ที่พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงทุกมิติ และให้บริการอย่างมีทิศทาง รวมถึงเป้าหมายการก้าวสู่สถาบันระดับโลก

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ซึ่งก้าวมารับตำแหน่งหมาดๆ ได้แสดงวิสัยทัศน์ผ่าน “โพสต์ทูเดย์” เกี่ยวกับการบริหารงานภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ โดยเริ่มจากการนิยามความหมายวิสัยทัศน์เดิมของศิริราชอย่าง “สถาบันการแพทย์แห่งแผ่นดิน มุ่งสู่ความเป็นเลิศระดับสากล” ไว้อย่างน่าสนใจ

“เรากำลังพูดถึงสถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน คือ บัณฑิตด้านสุขภาพที่ศิริราชจะผลิตออกไป ไม่ได้ต้องการแค่เก่งหรือดี แต่ต้องมุ่งจะสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน สังคม ประเทศ แล้วจะถอดออกมาเป็นลักษณะของนักศึกษาที่พึงประสงค์ บัณฑิตของเราต้องเน้นมองที่ชุมชน สังคม ประเทศ แต่องค์ความรู้ของเราเน้นที่ระดับโลก เพื่อดูแลคนไทยให้ดีที่สุด” ศ.นพ.ประสิทธิ์ เล่าถึงยุทธศาสตร์

คุณหมอประสิทธิ์ อธิบายต่อ คำว่า “สถาบันการแพทย์ของแผ่นดิน” ก็คือ ต้องมีคีย์เวิร์ดที่สำคัญ 3 ประการ คือ “เป็นที่พึ่งพิง เชื่อถือ และศรัทธา” โดยคำว่าเป็นที่พึ่งพิงนั้น จะเริ่มต้นได้ก็ต่อเมื่อคนในศิริราชเป็นคนที่มีความสุขกับการให้ ตามปณิธานของพระราชปณิธานของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก ที่ว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”

“ที่สำคัญ คือ คนของเราต้องมีความสุขกับการให้ ให้เกียรติผู้รับบริการ แล้วต้องเป็นเลิศด้านวิชาการ สามข้อนี้คือทำให้เราสามารถเป็นที่พึ่งพิง ถ้าเราเป็นเลิศด้านวิชาการ แต่ไม่ให้เกียรติผู้รับบริการ เขาก็พึ่งพิงเราไม่ได้ เราไม่มีความสุขกับการให้ เราก็เป็นที่พึ่งพิงไม่ได้ นอกจากนี้ยังต้องรวมความถูกต้อง ยุติธรรม คุณธรรม ทำให้เราเป็นที่เชื่อถือ บวกกับสองข้อสุดท้าย คือ เสมอต้น เสมอปลาย ยั่งยืน มั่นคง เราก็จะเป็นที่ศรัทธา” คณบดีศิริราช ระบุ

การมุ่งสู่ความเป็นเลิศระดับสากลนั้น คุณหมอกำหนดโจทย์ที่ท้าทายไว้ว่า หลังจากนี้กิจกรรมทุกอย่างของศิริราชต้องเป็นมาตรฐานสากลทั้งหมด โดยตั้งเป้าไว้ภายใน 2 ปี ภารกิจหลัก อย่างหลักสูตรแพทยศาสตร์ศึกษา ต้องผ่านมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับขององค์การอนามัยโลก

เช่นเดียวกับหลักสูตรแพทย์การแผนไทยประยุกต์ หลักสูตรกายอุปกรณ์ และหลักสูตรเทคโนโลยีศึกษาแพทยศาสตร์ ขณะเดียวกันทั้งโรงพยาบาลศิริราช และศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ขณะนี้ผ่านมาตรฐาน JCI ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกไปแล้ว ส่วนโรงพยาบาลศิริราชก็ผ่านมาตรฐาน Advance HA ของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ซึ่งเทียบเท่า JCI ไปแล้ว

นอกจากนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ ยังตั้งเป้า 4 ฐาน ที่ศิริราชยึดถือในระยะยาว กล่าวคือ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี สี่ฐานนี้ก็ยังต้องยึดติดกับศิริราช นั่นคือ 1.ให้ความสำคัญและตระหนักในคุณค่าของคน 2.การเป็น Happy Healthy Workplace ให้คนมีความสุขในการทำงาน สุขไม่พอต้องมีสุขภาพที่ดีด้วย 3.ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรของศิริราช และ 4.ยึดมั่นระบบธรรมาภิบาล

คุณหมอ ขยายความว่า คอนเซ็ปต์ใหญ่ก็คือ บุคลากรทุกคนในศิริราชต้องมีความสุขกับการทำงาน เพราะมีการศึกษาแล้วพบว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ลูกค้าจะมีความสุขจากการรับบริการ หากบุคลากรผู้ให้บริการปราศจากความพึงพอใจ ศิริราชจึงต้องพัฒนาระบบบริหารบุคคลของตัวเองเพื่อยึดหลักการให้บุคลากรมีความสุขในการทำงานมากที่สุข

“ความสุขการทำงานจะเกิดขึ้นได้ ถ้ามีโอกาสก้าวหน้าทางวิชาชีพ คือ คนคนหนึ่งทำงานที่หนึ่ง หลายคนมักจะอยู่ที่นั่นจนเกษียณ แล้วถ้ามีคนเก่งสองคน ห่างกันสักปีหนึ่ง อีกคนก็จะไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้า แต่สิ่งที่ผมทำ คือ เราให้คนเก่งไปโตในอีกที่หนึ่งได้ เป็นหัวหน้าอีกที่ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดิมไปจนเกษียณ

“นอกจากนี้ ที่เราย้ำก็คือ จะมีความสุขได้ ต้องมีสมดุลกับการใช้ชีวิต บุคลากรที่นี่จะไม่ทำงานจนไม่มีเวลาครอบครัว เราเชื่อว่าถ้าบุคลากรได้พักผ่อน เขาจะทำงานดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ หอผู้ป่วยของเราจึงมีห้องพักพยาบาล เข้าไปเอกเขนกได้ ถอดรองเท้า พาดขา กินกาแฟได้ จากเดิมที่ห้องพักพยาบาลมีแต่โต๊ะกับเก้าอี้เท่านั้น แล้วเราจะลงทุนกับพื้นที่สีเขียวในศิริราช รวมถึงสร้างโรงอาหารที่มีอาหารเพื่อสุขภาพ และมีฟิตเนสที่ได้คุณภาพ” ศ.นพ.ประสิทธิ์ เล่า

นอกจากนี้ คุณหมอประสิทธิ์ บอกว่า กำลังเดินหน้าเรื่องงานวิจัย เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศระดับสากลเต็มที่ และขณะนี้ศิริราชกำลังทำข้อมูลร่วมกับสถาบันต่างๆ เพื่อทำงานวิจัย “ถอดรหัสพันธุกรรม” ซึ่งอยู่ระหว่างของบประมาณจากรัฐบาล 2,000 ล้านบาท โดยในอนาคตจะสามารถถอดรหัสพันธุกรรมของแต่ละคน และสามารถทราบได้ว่าคนคนหนึ่งมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง หรือเสี่ยงแพ้ยากี่เปอร์เซ็นต์ หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นที่แรกของอาเซียนที่สามารถทำได้

อย่างไรก็ตาม คณบดีศิริราช ยอมรับว่า โรงพยาบาลยังมีปัญหาเรื่องรายรับกับรายจ่ายที่ใกล้เคียงกันมาก โดยในแต่ละปีศิริราชได้รับงบประมาณแผ่นดินเพียง 20% ของรายจ่ายทั้งหมด หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น อีก 1.4 หมื่นล้านบาท ที่เหลือศิริราชจำเป็นต้องหาเอง

ทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมงบประมาณที่ใช้สำหรับดูแลผู้ป่วยด้อยโอกาสอีก 400-500 ล้านบาท/ปี และยังต้องจัดหาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อรองรับโรคที่ซับซ้อน รวมถึงเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้เรียนกับเครื่องมือที่ใหม่ที่สุด จึงจำเป็นต้องเพิ่มการจัดหารายได้ ให้สอดคล้องกับการพัฒนาคุณภาพสู่ความเป็นเลิศด้วย

“เรายืนยันจะไม่รีดเงินจากผู้ป่วยด้อยโอกาสเขา แต่เรามีวิธีที่จะหารายได้ เช่น หากคุณพ่อคุณแม่ของผู้ป่วยเข้าวอร์ดพิเศษที่ศิริราช พอรักษาหาย กำลังจะกลับบ้าน แน่นอน ทุกคนอยากบริจาคให้ศิริราช แต่ที่ผ่านมาคุณต้องเดินไปบริจาคที่ศิริราชมูลนิธิ แต่หลังจากนี้เจ้าหน้าที่การเงินจะเดินมารับบริจาคเอง คุณจะรูดเครดิตการ์ดก็ได้ เราจะออกใบเสร็จอนุโมทนาให้ตรงนั้น นี่เป็นวิธีง่ายๆ แต่น่าจะช่วยเราได้เยอะ” คุณหมอ เล่า

ทั้งนี้ แม้ในแต่ละปีสัดส่วนเงินบริจาคจะไม่ได้เยอะมาก แต่คุณหมอก็บอกว่า พอจะครอบคลุมในสัดส่วนของผู้ป่วยด้อยโอกาสที่แต่ละปีศิริราชต้องรับดูแลเองปีละ 400-500 ล้านบาท ซึ่งก็พอแบ่งเบาภาระให้กับคณะได้บ้าง

คุณหมอประสิทธิ์ เล่าถึงโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ซึ่งให้บริการดูแลผู้ป่วยระดับพรีเมียม แต่อาจมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่า “แพง” เกินที่จะเข้าถึง คุณหมอ อธิบายว่าศิริราชปิยมหาราชการุณย์จะนำรายได้มาเจือจุนศิริราช ซึ่งขณะนี้ยังเปิดบริการได้เพียง 40% จากพื้นที่ทั้งหมด 13 แสนตารางเมตรโดยคาดว่าภายในปี 2558 นี้ จะสามารถเปิดได้ 70% และอีก 3 ปีจะสมบูรณ์แบบ 100%

เหตุผลสำคัญที่ยังเปิดบริการได้ไม่เต็มที่ มีเหตุผลสำคัญคือ ขาด“พยาบาล” เพราะการแข่งขันในระบบสุขภาพในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอกชนจำนวนมากที่เปิดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ดึงพยาบาลในระบบไปจำนวนไม่น้อย

“ประเทศไทยขาดพยาบาล10% ทั้งประเทศ เมดิคัลฮับทำให้ความต้องการพยาบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทั้งที่เรามีสถาบันผลิตพยาบาลมากถึง 81 แห่ง นอกจากนี้การเติบโตของโรงพยาบาลเอกชนที่ขยายออกไปทุกจังหวัด และยังขยายไปทุกประเทศอาเซียน ทำให้พยาบาลไม่สนใจทำงานโรงพยาบาลรัฐ แม้ค่าตอบแทนที่เราให้จะไม่ได้น้อยก็ตาม”

คุณหมอประสิทธิ์ เล่าอีกว่าขณะนี้ศิริราชมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษามากถึงปีละ 35 ล้านครั้งมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศโดยมีเหตุผลสำคัญ คือ ไม่ว่าคนไข้จะเข้ารับบริการมากเท่าไร แต่ศิริราชไม่เคยปิดรับบัตรคิว

“เราคิดมาหลายปีเรื่องปิดรับบัตร เราถกกันมาเรื่อยๆ ว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะการที่คนไข้มาเยอะๆ แพทย์มีเวลาเฉลี่ย 2-3 นาที ในการให้บริการเท่านั้น ตอนนี้ผู้รับบริการเสี่ยงกับการให้บริการเกินขีดความสามารถเรารู้ตลอดเวลาว่ามากเกิน แต่เราหยุดไม่ได้ เพราะเขามาจากทั่วประเทศ เตียงไม่พอเขาก็มานอนข้างนอก เราก็ไล่เขาไปไม่ได้” ศนพประสิทธิ์ ระบุ

คุณหมอประสิทธิ์ บอกว่าปัญหาในระบบสุขภาพ เป็นปัญหาเรื้อรัง โดยในเชิงนโยบายมีการข้ามขั้นตอนการส่งเสริมสุขภาพไปสู่การรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพในทันที ทั้งที่การส่งเสริมสุขภาพคือการป้องกันไม่ให้คนเจ็บป่วยซึ่งได้ผลดีที่สุด ขณะเดียวกันการออกแบบระบบที่ให้คนไข้ไปโรงพยาบาลใกล้บ้านเมื่อร้สู กึ เจบ็ป่วยก็ล้มเหลว ทำให้คนไข้มากระจุกตัวที่โรงพยาบาลใหญ่เพียงแห่งเดียว

“ก่อนหน้านี้โรงพยาบาลชุมชนหลายแห่งไม่มีวิสัญญีแพทย์ มีแต่วิสัญญีพยาบาล สมัยก่อนวิสัญญีพยาบาลก็ทำไป แต่หลังจากนั้นวิสัญญีพยาบาลวางยาสลบ แล้วคนไข้เสียชีวิต เกิดการฟ้องร้องแล้วศาลตัดสินว่าโรงพยาบาลไม่ได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคนไข้ ก็ไม่มีโรงพยาบาลชุมชนที่ไหนรับผ่าตัดอีก เพราะเบิกก็ไม่ได้เต็ม แถมยังเสี่ยงถูกฟ้อง

สุดท้ายก็ส่งเข้าโรงพยาบาลจังหวัด แล้วก็ล้นในโรงพยาบาลใหญ่ ทั้งหมดนี้เพราะระบบเราหยิบระบบคุณภาพเข้ามา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าระบบคุณภาพไม่ดี แต่ระบบคุณภาพต้องสมดุลกับทรัพยากรที่ใส่เข้าไป เมื่อทรัพยากรไม่สมดุลกับระบบคุณภาพ ผู้รับบริการไม่สมดุลกับระบบผู้ให้บริการ ก็เสียหายแล้วทั้งระบบ” ศนพประสิทธิ์ ระบุ

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ