วิธีทำสมาธิในห้องเรียน
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา แนะเคล็ดง่ายๆ ว่า วิธีเรียนให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องทำสมาธิในห้องเรียน
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา แนะเคล็ดง่ายๆ ว่า วิธีเรียนให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องทำสมาธิในห้องเรียน
สมาธิในห้องเรียนนี้ ฝึกได้ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ฝึกลูกได้ตั้งแต่เด็กนักเรียนเล็กๆ ชั้น อนุบาล
วิธีฝึกคือ “เวลาเข้าห้องเรียน ให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น...ให้นักเรียนเอาจิตไปจดจ่ออยู่ที่ตัวอาจารย์”
ท่านว่า ขณะที่อาจารย์สอนเรา ท่านรวมกำลังจิตและวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เรา เมื่อเราเอาจิตจดจ่ออยู่ที่ตัวอาจารย์ เราก็ได้รับพลังจิตและวิชาความรู้จากอาจารย์ด้วย
ท่านเคยสาธิตกับเด็กๆ นักเรียน โดยบอกกับนักเรียนว่า “...ขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา ส่งมาที่หลวงตา แล้วสังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้าง หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง ถ้าสังเกตจนกระทั่งกะพริบหู กะพริบตาได้ยิ่งดี...”
ท่านบอกถึงกระบวนการชัดๆ ว่า “ในระยะแรก ให้สังเกตดูว่าถ้าจิตของเราไปจ้องอยู่ที่ตัวอาจารย์ สายตาจ้องอยู่ที่ตัวอย่างไม่ลดละ นั่นแสดงว่า เราเริ่มมีสมาธิขึ้นมาแล้ว แล้วสังเกตดูความเข้าใจ ความจดจำของเราจะดีขึ้น ในตอนแรกๆ นี้ ความรู้สึกของเราจะไปอยู่ที่ตัวอาจารย์หมด ทีนี้เมื่อฝึกไปนานๆ เข้าจนคล่องชำนิชำนาญ จิตของเรามีกำลังแกร่งกล้าขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้น มีสติดีขึ้น ความรู้สึกมันย้อนจากตัวอาจารย์มาอยู่ที่ตัวเอง ทุกขณะจิตเรามีความรู้สึกอยู่ที่จิตของเราเท่านั้น”
หลวงพ่อพุธบอกว่าด้วยวิธีนี้ “ภายหลังมา อาจารย์ท่านพูดอะไร สอนอะไร สติสัมปชัญญะจะรู้พร้อมอยู่หมด เพียงกำหนดจิตรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้น อะไรผ่านเข้ามาก็สามารถรู้ทันหมด บางทีพออาจารย์พูดประโยคจบปั๊บ ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านจะพูดอะไร เมื่อก่อนหน้าจะสอบจิตจะบอกว่าให้ดูหนังสือเล่มนั้น จากหน้านั้นไปถึงหน้านั้น แล้วเวลาสอบมันก็ออกมาจริงๆ เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบแต่ละข้อๆ จิตมันจะสงบลงไปนิดหน่อย ใจของเราจะวูบวาบ แล้วคำตอบมันก็ผุดขึ้นมา เขียนเอาๆ”
วิธีนี้ หลวงพ่อพุธไม่ได้แนะโดยไม่ผ่านการปฏิบัติ หากแต่ท่านทดลองมาแล้วด้วยตัวเอง
“วิธีอันนี้เป็นสูตรที่หลวงตาทำได้ผลมาแล้วตั้งแต่เป็นสามเณร เรียนหนังสือ หลวงตาถือหนังสือเดินท่องไป ท่องมาแบบเดินจงกรม อาจารย์สุวรรณ สุจิณโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น ท่านเห็นก็ทักว่า “เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติ จับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก”
นั่นทำให้ท่านคิดขึ้นได้ว่า “เอ๊...หลักของการเพ่งกสิณนี่ ปฐวีกสิณ เพ่งดิน อาโป เพ่งน้ำ วาโย เพ่งลม เตโช เพ่งไฟ อากาศ เพ่งอากาศ วิญญาณ เพ่งวิญญาณ เราเอาตัวครูเป็นเป้าหมายของจิต ของอารมณ์ เอาตัวครูเป็นอารมณ์ของจิต เป็นที่ตั้งของสติ เอามันที่ตรงนี้แหละ เวลาสอบสามารถรู้ข้อสอบล่วงหน้าได้ทุกวิชา วิชาที่หลวงตาสอบมันมี 4 วิชา วิชาแปลภาษาบาลี สัมพันธ์คำพูด หลักภาษาและเขียนตามคำบอกรู้ล่วงหน้าหมดทุกวิชาเลย”
มิเพียงแต่ทดลองด้วยตัวเอง ท่านยังเคยให้นักศึกษาบางคนทดลองมาแล้ว
“...การฝึกสมาธิแบบนี้ไม่ขัดต่อการศึกษา เมื่อเวลาหนูเข้าไปอยู่ในห้องเรียน ให้กำหนดจิต มีสติรู้อยู่ที่จิตคือระลึกรู้อยู่ที่จิตของตัวเอง ถ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งที่จะต้องเพ่งมอง ก็เพ่งมองไปที่จุดนั้น เช่น กระดานดำ เป็นต้น เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน ให้เอาความรู้สึกและสายตาทั้งหมดไปรวมอยู่ที่ตัวอาจารย์ ให้มีสติรู้อยู่ที่ตัวอาจารย์เพียงอย่างเดียว อย่าส่งใจไปอื่น แล้วคอยสังเกตจับตาดูความเคลื่อนไหวไปมาของอาจารย์ที่แสดงออกทุกขณะจิตของเรา เมื่ออาจารย์ท่านพูดอะไรก็ให้เราฟัง เรากำหนดหมายเอาเสียงที่ได้ยินเป็นอารมณ์จิต ให้มีสติรู้อยู่กับเสียงที่อาจารย์พูดออกมาแต่ละคำ เมื่ออาจารย์เขียนอะไรให้ดู ให้เอาสติและสายตาจดจ่อดูอยู่ที่สิ่งที่อาจารย์ทำให้ดู ให้ฝึกหัดทำอย่างนี้”
ท่านว่า คนที่ไม่เคยทำ แรกๆ อาจจะรู้สึกว่าลำบากหน่อยแต่ถ้าสามารถฝึกสมาธิให้จิตมีสมาธิ มีสติสัมปชัญญะก็จะทำได้ดี เหมือนนักศึกษาคนที่ท่านแนะนั้นเรียนสำเร็จปริญญาโท ถึงวันสอบวิทยานิพนธ์ นักศึกษาคนนั้นก็นั่งนึกว่า วันนี้จะถูกสัมภาษณ์เรื่องอะไร
“พอคิดขึ้นมาเท่านั้น คำถามมันก็ผุดขึ้นมา คำตอบก็โผล่ขึ้นมาตอบรู้ล่วงหน้าหมด ทุกข้อที่กรรมการเขาถาม พอมาถึงสนามสอบ พอถามปั๊บตอบปุ๊บๆ จนกระทั่งกรรมการสอบเขาแปลกใจ เขาบอกว่าเราก็สอบคนมามากต่อมากแล้ว ทำไมไม่เหมือนเด็กคนนี้สักคน เจ้าคนนี้ถามแล้ว เหมือนกับว่าไม่ต้องคิด พอถามจบตอบปั๊บ เขาเลยถามดูว่าทำไมหนูถึงได้เก่งนัก หนูบอกว่า “หนูฝึกสมาธิ”
ท่านว่า “หลักการนี้นักเรียนทุกคนขอได้โปรดจำเอาไปปฏิบัติไปทุกวันๆ ในที่สุดเราจะได้กำลังสมาธิสนับสนุนการเรียนการศึกษาเป็นอย่างดี ถ้าหากเรามีเวลาที่จะมานั่งสมาธิ พอเริ่มลงไป ไม่ต้องบริกรรมภาวนาหรือไปท่องมนต์อะไรทั้งสิ้น ให้เอาบทเรียนที่เราเรียนมาในแต่ละวันๆ มาคิดทบทวนดูว่าเราจะจำได้กี่มากน้อย ถ้ามีหนังสือมาวางข้างๆ ยิ่งดี พอคิดเรื่องนี้ คิดไปๆ มันติดตรงไหนเราคิดไม่ออก เปิดหนังสือมาแล้วเอาดินสอขีดเส้นใต้เอาไว้ พอเลิกนั่งสมาธิแล้วมานั่งท่องเอาแต่ตรงที่เราจำไม่ได้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้”
ท่านบอกว่า การทำสมาธิมิเพียงให้เป็นประโยชน์แก่การศึกษา หากแต่ยังทำให้สามารถรู้ธรรมเห็นธรรมได้ด้วยและถ้านักเรียนนักศึกษาพยายามฝึกสมาธิแบบนี้ ความรู้สึกสำนึกในพระคุณของบิดา มารดา ครู อาจารย์ ความเคารพ ความเอาใจใส่ ความกตัญญูกตเวที ความรู้สึกซึ้งในพระคุณของครูบาอาจารย์จะฝังลึกลงสู่จิตใจ จะกลายเป็นคนกตัญญูกตเวที เป็นผู้เชื่อฟังเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย แล้วประโยชน์มันก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง
ใครมีลูกมีหลานสนใจก็ลองดูนะครับ...


