posttoday

ส่งออกโชติช่วงทุบสถิติโต 42%

20 มิถุนายน 2553

ตัวเลขส่งออกของไทยยังคงดีวันดีคืน เพราะตั้งแต่เดือน ม.ค.เป็นต้นมา การส่งออกโตด้วยตัวเลข 2 หลักมาโดยตลอด

ล่าสุดเดือน พ.ค. 2553 ส่งออกพุ่งสูงสุดในรอบ 22 เดือน ขยายตัวมากถึง 42.13% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ด้วยมูลค่าทะลุ 1.65 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ตอกย้ำความมั่นใจของกระทรวงพาณิชย์ที่กำลังรอฤกษ์เหมาะ ปรับเป้าหมายส่งออกปีนี้เพิ่ม จากโต 14% เป็น 1718%

ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 1.43 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 55.1% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าเดือน พ.ค. 2,211 ล้านเหรียญสหรัฐ

นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้การส่งออกในภาพรวมตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.พ.ค.) ไทยส่งออกไปแล้ว 7.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 34.5% ส่วนนำเข้ามีมูลค่า 7.09 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 54.92% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 5 เดือน 4,055 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตัวเลขสวยหรูนี้เป็นผลมาจากตลาดโลกฟื้นตัว ช่วยให้ไทยสามารถส่งออกได้เพิ่มทุกหมวดสินค้า ได้แก่ สินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตรเพิ่มขึ้น 29.4% จากการเพิ่มขึ้นของยางพารา 133.5% มันสำปะหลัง 97.8% น้ำตาล 64.4% อาหารทะเลแช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป 5.5% กุ้งแช่แข็งและแปรรูป 10.3% ไก่แช่แข็งและแปรรูป 16.7%

ยกเว้นข้าวปริมาณลดลง 12.5% มูลค่าลดลง 11.5% เพราะความต้องการของตลาดยังไม่มาก และปัญหาการแข่งขันด้านราคากับประเทศคู่แข่ง ไทยยังเสียเปรียบ รวมถึงเงินบาทแข็งค่า ทำให้ราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่ง

ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 47.4%จากการสูงขึ้นของเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ 27.5% เครื่องใช้ไฟฟ้า 47.4% ยานยนต์ 71.2% อัญมณีและเครื่องประดับ (รวมทองคำ) 238.2% เป็นต้น

กลุ่มตลาดส่งออกก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งตลาดหลักและตลาดใหม่ โดยตลาดหลักเพิ่มขึ้น 35.2% จากการสูงขึ้นของตลาดสหรัฐอเมริกา 26.7% ญี่ปุ่น 39.4% สหภาพยุโรป (15 ประเทศ) 19.3% อาเซียน (5 ประเทศ) 50%

ตลาดใหม่เพิ่มขึ้น 48.3% จากการสูงขึ้นของตลาดอินโดจีน (4 ประเทศ) 33.6% ตะวันออกกลาง 15.6% ละตินอเมริกา 106.8% ยุโรปตะวันออก 50.8% อินเดีย 17.5% จีน 39.4%

ยกเว้นแอฟริกาที่ลดลง 25.1% เพราะส่งออกวัสดุก่อสร้างลดลง จึงสั่งการให้กรมส่งเสริมการส่งออกจัดกิจกรรมเจาะตลาดให้มากขึ้น โดยเฉพาะการประมูลโครงการก่อสร้างต่างๆ ของทั้งภาครัฐและเอกชน

เมื่อดูตัวเลขการนำเข้าเฉพาะเดือน พ.ค. พบว่าเพิ่มขึ้นทุกหมวดเช่นกัน โดยเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 63.8% ทุนเพิ่มขึ้น 45% วัตถุดิบ/กึ่งสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น 57.7% อุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 37.5% และยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งเพิ่มขึ้น 140%

การส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ทำให้ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับอานิสงส์ของเขตการค้าเสรีในกรอบต่างๆ ที่ไทยทำกับประเทศคู่ค้า รวมถึงมาตรการต่างๆ ของกระทรวงในการผลักดันการส่งออก

ในส่วนผลกระทบของวิกฤตหนี้กรีซนั้น กระทรวงกำลังติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ไม่น่าจะลุกลามรุนแรง ซึ่งภาคเอกชนคาดว่าอาจทำให้การส่งออกไทยไปอียูลดลงเพียง 23% ส่วนจะปรับเพิ่มเป้าหมายการส่งออกปีนี้ใหม่หรือไม่ต้องขอดูตัวเลขเดือน มิ.ย. และวิกฤตหนี้ของกรีซก่อน ถ้าตัวเลขยังเพิ่มขึ้นใกล้เคียงเดือน พ.ค. และวิกฤตไม่ลุกลาม ก็มีโอกาสปรับเพิ่มเป็น 1718% แต่ขณะนี้ขอยืนเป้าหมายเดิมที่ 14% มูลค่า 1.73 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ดี นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่ามูลค่าส่งออกสินค้าไทยน่าจะถึง 6 ล้านล้านบาท ส่วนการค้าภายในประเทศน่าจะอยู่ที่ 2 ล้านล้านบาท รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 9 ล้านล้านบาท จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เกินกว่า 4% แน่นอน หลังจากที่หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวต่ำกว่า 4% เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา

ฟากการลงทุน ขณะนี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น เพื่อหวังจะปรับตัวเลขดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่ม ด้วยการจัดงาน นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุนที่เมืองทองธานี เพื่อฟื้นความเชื่อมั่น โดยมีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เป็นเจ้าภาพ

งานนี้ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม ตั้งความหวังว่าจะเพิ่มการลงทุนให้ได้มากกว่า 5 แสนล้านบาท จากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขอส่งเสริมการลงทุนมีเข้ามาแล้ว 1.71.8 แสนล้านบาท

ปัจจุบันมีโครงการที่เตรียมเสนอขอส่งเสริมการลงทุนเข้ามาใหม่อีกอย่างน้อย 2 ราย ได้แก่ โครงการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ของบริษัท มิตซูบิชิ มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท และโครงการผลิตตลับลูกปืนในอุตสาหกรรมของบริษัท มินิแบร์ มีมูลค่าการลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท

รายอื่นๆ นายชัยวุฒิยอมรับว่า ยังมีการสอบถามถึงแนวทางแก้ปัญหาโครงการมาบตาพุดอยู่ จึงได้แจ้งว่า ปัญหามีความคืบหน้าไปมากแล้ว จะได้ข้อสรุปทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ร่วมวง พยายามชี้แจงสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาภายในของไทย โดยเฉพาะการดูแลความปลอดภัย และการเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเหตุชุมนุมทางการเมือง และไม่ลืมที่จะหยอดคำหวานว่า นักลงทุนต่างชาติยังเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย และหวังว่าจะยังสนับสนุนใช้ไทยเป็นฐานการผลิตในเอเชียต่อไป

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ