เครื่องสำอางมือสองจากแอร์พอร์ต ... สวรรค์เล็กๆของนักช็อป
จากสินค้าต้องห้ามที่ถูกยึดได้จากสนามบินสู่เครื่องสำอางมือสองขายดีในตลาดนัด
เรื่องและภาพโดย…นรินทร์ ใจหวัง
คงไม่ใช่เรื่องแปลก หากได้เห็นภาพสาวๆขาช็อปพากันยื้อแย่งเครื่องสำอางที่ตัวเองถูกใจอย่างไม่ลดราวาศอก ทว่าตลาดนัดที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้มีความพิเศษตรงสินค้าที่วางขายเบื้องหน้าคือ เครื่องสำอางแบรนด์ดังจากทั่วโลกที่ถูกยึดได้จากสนามบิน ซึ่งถูกนำมาประมูลก่อนจะนำไปวางขายเป็นสินค้ามือสองในตลาดนัด ที่สำคัญราคาแสนย่อมยาว์เย้ายวนใจยิ่ง
100 มล.จำให้แม่น ถ้าไม่อยากโดนยึด
ตามข้อกำหนดสากลในการนำของเหลวขึ้นเครื่องบินโดยสารของสนามบินทั่วโลก รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จะกำหนดให้ผู้โดยสารสามารถนำของเหลว ไม่ว่าเครื่องสำอาง เจล บอดี้สเปรย์ เครื่องดื่ม ของใช้ส่วนตัวต่างๆติดตัวขึ้นเครื่องบินได้เพียง100 มิลลิลิตรเท่านั้น หากเกินจะถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้นและยึดไว้ โดยให้เหตุผลว่าของเหลวเหล่านี้ หากมีปริมาณมากพอจะสามารถนำไปเป็นสารตั้งต้นทำระเบิดที่ใช้ก่อวินาศกรรมบนเครื่องบินได้
อย่างไรก็ดี หากเป็นในต่างประเทศข้าวของที่ถูกยึดเหล่านี้คงเป็นเพียงขยะที่สนามบินต้องหาทางจำกัดต่อไป แต่สำหรับประเทศไทย นี่คือสมบัติล้ำค่าที่สร้างรายได้งดงามให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้า ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้คนธรรมดเดินดินได้ใช้ของแบรนด์เนม ราคาถูกสบายกระเป๋าด้วย
รื่นฤดี แจ่มแสง แม่ค้าขายเครื่องสำอางมือสองที่สามารถเข้าไปประมูลขยะประเภทดังกล่าวจากสนามบินได้ เล่าว่า หันมายึดอาชีพนี้ได้ปีกว่าแล้ว ก่อนหน้านี้ญาติที่ทำงานอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิเป็นผู้แนะนำให้เข้าไปซื้อขยะที่ยึดจากผู้โดยสารที่นำของเหลวเกินกว่ามาตรฐานกำหนดขึ้นเครื่องบิน และบางส่วนที่มาจากสิ่งของที่ผู้โดยสารทิ้ง เพราะน้ำหนักกระเป๋าเกิน เพื่อนำมาขาย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องสำอาง และเครื่องใช้ส่วนตัวยี่ห้อดังจากต่างประเทศ
“การเข้าไปเหมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องมีเงินประกันครั้งละ 2 หมื่นต่อคน ถึงจะเข้าไปซื้อของได้ แต่ถ้าเราอยากเข้าไปเลือกข้าวของข้างในมากกว่านั้น ก็ต้องวางเงินประกัน 2 แสนบาทต่อครั้ง แต่พอดีมีญาติทำงานอยู่ข้างใน เลยอาศัยให้เขาจัดการดูให้อีกที”
เมื่อ "ของถูกทิ้ง" กลายเป็น"สินค้าที่ถูกแย่ง"
เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่แม่ค้าจัดร้านอย่างง่ายๆ โดยนำสินค้ามาแยกหมวดหมู่ใส่ตระกร้าขนาดพอเหมาะกองไว้กับพื้น ก็ปรากฎลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรพากันเจ้ามาหยิบฉวยตระกร้าเลือกสินค้าที่อยู่ตรงหน้าด้วยใจระทึก
ไม่ว่าจะเป็นคลีนเซอร์ ครีมบำรุงหน้าระดับเคาน์เตอร์แบรนด์ โลชั่นบำรุงผิวกาย ยาสีฟัน บอดี้สเปรย์ ครีมอาบน้ำ เจลแต่งผม น้ำหอม แชมพู เหล้า ไวน์ ยาบำรุงร่างกายแปลกๆที่หาซื้อไม่ได้ตามร้านทั่วไป จนถึงอาหารกระป๋องทุกรูปแบบ จากทั่วทุกมุมโลก ต่างถูกจับจองจากลูกค้าที่ผลัดกันชม ผลัดกันอ่านอย่างใจเย็น ประหนึ่งช็อปอยู่ในห้างหรู เมื่อเจอของถูกใจจึงหยิบใส่ตะกร้าของตัวเอง
เจ้าของร้านเครื่องสำอางมือสองจากแอร์พอร์ต เล่าว่า แต่ละเที่ยวที่เข้าไปเหมาสินค้าเหล่านี้มาจากสนามบิน เธอไม่สามารถเลือกสิ่งของที่อยู่ด้านในถุงได้ เพราะเจ้าหน้าที่จะแพคของทั้งหมดรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งมีหลายครั้งที่สิ่งของด้านในเป็นเพียงน้ำเปล่า แต่ก็ต้องจำใจเหมากลับมาอย่างเซ็งๆ
“ถึงเป็นน้ำดื่มเยอะ เราก็ต้องเหมาให้หมด มีเท่าไหร่ก็ต้องยกมา เที่ยวละ 2 หมื่นบาท บางทีก็เป็นอาหารกระป๋องที่เราไม่รู้จักเพียบเลยก็ต้องเอามา ลองทำกินเองก่อน ลองดัดแปลง เพื่อจะได้อธิบายกับลูกค้าได้ว่ามันเอาไปใช้ได้อย่างไรบ้าง”
อุปสรรคอีกประการหนึ่งของการทำอาชีพนี้คือ การแยกสินค้าออกเป็นหมวดต่างๆ ในช่วงแรกรุ่งฤดียอมรับว่า ทำได้ยากมาก เพราะสินค้าต่างๆมาจากทั่วทุกมุมโลก ภาษาที่กำกับฉลากสินค้า จึงแตกต่างกันไป ต้องอาศัยแอพพลิเคชั่นแปลภาษาและความชำนาญในการแยกประเภท จนสามารถอธิบาย สรรพคุณกับลูกค้าที่ไม่เข้าใจได้
“อ่านไม่ออกเลย (หัวเราะ) อาศัยเปิดดูคำศัพท์เอา อันไหนไม่เข้าใจก็ต้องแปล เพื่อแยกประเภท ลูกค้าบางคนไม่ต้องอธิบายมาก เพราะเขารู้ แต่บางคนต้องอธิบายละเอียดยิบ ทางที่ดีเราต้องติดสรรพคุณกำกับเอาไว้ด้วย ระยะหลังก็ดีขึ้นมาหน่อย มีแอพแปลภาษา แค่ถ่ายรูปมันก็แปลให้เราอัตโนมัติ พอเราทำบ่อยๆก็เริ่มชิน แยกได้ง่ายๆเลยว่าอันนี้ ครีมทาผิว บางอันเทออกมาลูบกับน้ำแล้วเป็นฟองก็ต้องเป็นคลีนเซอร์ นอกจากเราต้องเอาทุกอย่างมากแยกประเภท และทำความสะอาดขวดแล้ว ก็ตรวจเรื่องวันหมดอายุด้วย ส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหา เพราะเป็นของที่คนเขาใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน”
สำหรับลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านมีทั้งนักศึกษาและพนักงานบริษัท เธอกระซิบว่าไปออกร้านที่ไหน ก็แทบจะขายได้เกือบหมดทุกครั้ง
“นักศึกษาเยอะ คนทำงานก็เยอะ ถ้าเราได้ไปขายย่านมหา’ลัย เด็กๆเขาก็จะถามว่ามาวันไหนอีกบ้าง ทั้งผู้หญิง ผู้ชายมารุมซื้อกันเต็มไปหมด สินค้าขายดีที่สุดเป็นยาสีฟันของต่างประเทศ มาเท่าไหร่ขายหมด หลอดละ 70 บาท แรกๆขายของไทยได้ หลังๆลูกค้าจะเอาแต่ของฝรั่งอย่างเดียว เราก็ต้องเอาของไทยมาขายลดราคา เหลือ 3 หลอด 100 บาท น้ำหอมก็ขายง่าย ขนาดบางขวดเหลืออยู่นิดเดียว ขาย 500-600 บททยังมีคนซื้อ เพราะเขามองว่าคุ้ม เพราะถ้าซื้อเต็มขวดก็คงไม่ต่ำกว่า 4,000-5,000 บาท
ส่วนตัวมองว่า การมาขายของแบบนี้มันมีข้อดี สำหรับลูกค้าเขาได้ใช้ของดี ราคาถูก มีคุณภาพ คนธรรมดาๆ ทั่วไปคงไม่ได้ซื้อของแพงใช้กันง่ายๆเท่าไหร่นัก เราเองก็ใช้นะ ตอนนี้ที่บ้าน ลดค่าใช้จ่ายของใช้ส่วนตัวได้เดือนละ 4,000-5,000 บาทเลย แม่ไม่ต้องซื้อของเลย บางทีก็เจอของแปลกๆอย่างเหล้างูของคนจีน ขำดีเหมือนกัน ลูกค้าบางคนก็ซื้อไปกินอยู่บ้าง ถ้าขายไม่ได้ก้กองเต็มอยู่ที่บ้าน”เจ้าของร้านสาวเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
เสียงสะท้อนจากสาวนักช็อป
เรืองระวี เอกสกุลสิทธิ พนักงานโรงแรม ลูกค้าเครื่องสำอางมือสอง บอกว่า รู้สึกพอใจที่ได้ใช้สินค้ามีคุณภาพในราคาถูก แต่กระนั้นก็มีวิธีเลือกสินค้าเหล่านี้เช่นกัน
“ของส่วนใหญ่ที่ซื้อ จะเลือกอาหารกระป๋องของญี่ปุ่นเป็นหลัก เพราะมันอร่อย ที่สำคัญสะอาดแน่นอน เพราะยังไม่มีใครเปิด แต่ก็ต้องดูวันหมดอายุให้ดีด้วย ส่วนเรื่องเครื่องสำอาง ก็โอเคนะ บางอย่างซื้อได้ในราคาไม่ถึง 30 บาท สภาพดีไม่บุบสลาย ถ้าไปซื้อตามห้างคงหลายพัน แต่เราก็เลี่ยงสินค้าบางชนิดที่ผ่านการสัมผัสกับตัวเจ้าของมาก่อนเช่น โรออน ลิปสติก ยาสีฟันนี่จะไม่เอาเลย สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือเจลล้างมือ ซึ่งยี่ห้อของต่างประเทศดีมาก ราคาถูกด้วย ถ้ามองภาพรวมก็ถือว่าเป็นสินค้าดีเกือบทั้งหมดนั่นแหละ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน”
ขณะที่หลายคนอาจส่ายหัวรับไม่ได้กับการซื้อขายสินค้าที่ถือว่าแปลกแหวกแนวแบบนี้ แต่อีกหลายคนกลับมองว่าเปรียบเสมือนสวรรค์เล็กๆที่ทำให้คนๆหนึ่ง ได้ใช้ ได้กินของดีมีคุณภาพจากแดนไกลในราคาที่สามารถเอื้อมถึง แถมยังช่วยลดรายจ่ายค่าสิ่งของเครื่องใช้ได้ดีทีเดียวจึงไม่แปลกใจ ที่จะเห็นลูกค้ามุงกันเต็มหน้าร้านตลอดเวลา


