posttoday

‘ทีมหมอครอบครัว’ คำตอบสุดท้ายระบบสุขภาพไทย

03 มีนาคม 2558

หากพูดถึงความสำเร็จในด้านการรักษาพยาบาล ต้องบอกว่า “ไทย” เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยอมรับและถูกกล่าวขานระดับเวทีสากล

โดย...นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สาธารณสุข

หากพูดถึงความสำเร็จในด้านการรักษาพยาบาล ต้องบอกว่า “ไทย” เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยอมรับและถูกกล่าวขานระดับเวทีสากล

ไม่ว่าจะเป็นในด้าน “วิวัฒนาการทางการแพทย์” ที่มีความก้าวหน้าจนนำไปสู่นโยบาย “ศูนย์กลางบริการสุขภาพระดับภูมิภาค” (Medical Hub) หรือแม้แต่การดำเนินนโยบาย “ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” โดยการจัดตั้ง “กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” เพื่อดูแลสุขภาพคนไทยที่ยังไม่มีระบบหลักประกันสุขภาพ ซึ่งได้รับการชื่นชมจากนานาประเทศอย่างยิ่ง

แต่ด้วยจำนวนแพทย์ที่จำกัด โดยอัตราเฉลี่ยแพทย์ต่อจำนวนประชากรของประเทศไทยอยู่ที่ 1:2,893 คน แม้ว่าจะเป็นสัดส่วนที่ดีกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดอยู่ที่ 1:5,000 คน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศอังกฤษ ที่มีอัตราแพทย์ต่อจำนวนประชากร 1:350 คน จะเห็นได้ว่าเป็นสัดส่วนที่ห่างไกลกันหลายเท่าอย่างมาก

ขณะที่ข้อมูลกระทรวงสาธารณสุขปี 2554 ระบุว่าประเทศไทยมีแพทย์ภาครัฐ 25,932 คน เป็นจำนวนที่ต่ำกว่าแพทย์ที่ควรจะมี ซึ่งอยู่ที่ 38,340 คน นั่นเท่ากับว่ายังคงขาดแพทย์ในระบบอีก 1.2 หมื่นคน ประกอบกับความขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในสาขาต่างๆ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ล้วนสวนทางกับแนวโน้มผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่แต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้ประชาชนประสบปัญหาต่อการเข้าถึงการรักษา

การจัดตั้ง “ทีมหมอครอบครัว (Family Care Team)” จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการตอบโจทย์ ทำให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลและดูแลสุขภาพอย่างทั่วถึง เน้นการบริการระดับปฐมภูมิที่มีคุณภาพในรูปแบบ “ใกล้บ้านใกล้ใจ”

คล้ายกับเป็นหมอประจำบ้าน ประจำครอบครัว ติดตามผู้ป่วยและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่องที่บ้าน โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศจัดตั้งทีมหมอครอบครัว 3 หมื่นทีม เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ทีมหมอครอบครัวไม่ได้จำกัดเฉพาะสหวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุข แต่ดึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานดูแลสุขภาพทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชุมชน อปท. และประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในระบบการดูแลสุขภาพเชิงรุกและรักษาพยาบาล เป็นการเพิ่มศักยภาพภายใต้บุคลากรทางการแพทย์ที่จำกัด เบื้องต้นเน้นการเยี่ยมดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ และผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 1.7 ล้านคนทั่วประเทศ

รูปแบบโครงสร้างทีมหมอครอบครัวนั้น แบ่งเป็น 3 ระดับ แต่ละระดับจะเชื่อมโยงภารกิจการดำเนินงานที่เกื้อหนุนกัน  เริ่มจาก “ระดับอำเภอ” ประกอบด้วย แพทย์และสหสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักกายภาพบำบัดนักสังคมสงเคราะห์ นักสุขภาพจิต และทีมจากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษา สนับสนุนวิชาการ พัฒนาศักยภาพทางคลินิกทีมตำบลและชุมชน

ต่อมาเป็น “ระดับตำบล” ประกอบด้วยบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) อาทิ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข เจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน เจ้าหน้าที่บริหารงานสาธารณสุข ทันตาภิบาล เป็นต้น จะทำหน้าที่ “หมอครอบครัว” ดูแลปัญหาสุขภาพและรักษาพยาบาลเบื้องต้น ประสานส่งต่อผู้ป่วยที่เกินขีดความสามารถ ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้กับครอบครัว ชุมชน

สุดท้ายคือ “ระดับชุมชน” ประกอบด้วย อสม. อปท. แกนนำชุมชนและครอบครัว เป็นต้น มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อให้สามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้ ทำหน้าที่ประดุจญาติของผู้ป่วยและครอบครัว ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข

การดำเนินนโยบายทีมหมอครอบครัวนี้ ได้ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ประเทศไทยมีพื้นฐานที่ดีในการทำงานเชิงรุก โดยบุคลากรสุขภาพที่มีการพัฒนามาตามลำดับ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซึ่งทำงานเชิงรุกใน รพ.สต. รวมถึงการวางรากฐานระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งการจัดตั้งทีมหมอครอบครัวนี้ จะเป็นเครือข่ายช่วยเสริม นอกจากไม่ให้บุคลากรเหล่านี้ไม่ต้องอยู่ในสภาพฉายเดี่ยวในพื้นที่แล้ว ยังเป็นการเพิ่มศักยภาพการดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น

ประการสำคัญ หมอครอบครัวนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะแต่ในพื้นที่ชนบทเท่านั้น แต่ยังทำได้ในเขตเมือง เพราะประชากรในเขตเมืองต่างต้องการระบบการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลที่ดีเช่นกัน โดยเฉพาะการดูแลคนในครอบครัวที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง ขณะที่ต้องออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพ ซึ่งหากมีทีมหมอครอบครัวที่ช่วยเข้ามาดูแล จะช่วยสร้างความอุ่นใจได้

แต่ทั้งนี้นับเป็นความท้าทายในการดึงผู้เล่นนอกให้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทีมหมอครอบครัว นอกจากหน่วยงานท้องถิ่นแล้ว ยังมีภาคเอกชนและหน่วยบริการรัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเข้ามาช่วยสนับสนุนช่องว่างนี้

ขณะนี้มีหลายพื้นที่ได้เดินหน้าจัดตั้งทีมหมอครอบครัวแล้ว โดยบางพื้นที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้จนปรากฏผลเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลขอนแก่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โกตาบารู จ.ยะลา โรงพยาบาลกุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ โรงพยาบาลบางกล่ำ จ.สงขลา เป็นต้น

ขณะที่ในเขตเมืองอย่าง กทม. มีคลินิกเอกชนหลายแห่งได้เริ่มพัฒนารูปแบบการเยี่ยมบ้านจนได้รับความวางใจจากผู้ป่วยและญาติเช่นกัน เหล่านี้มาจากการมีส่วนร่วม โดยผลที่ได้รับนอกจากความพึงพอใจจากผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังนำมาซึ่งความไว้วางใจต่อบุคลากรด้านสาธารณสุข ความสุขใจในการดูแลผู้ป่วยของเจ้าหน้าที่เอง ซึ่งหัวใจสำคัญคือการดูแลเสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

นับเป็นมิติความสัมพันธ์ในระบบสุขภาพของประเทศไทยที่กำลังเดินหน้าจากนี้

ข่าวล่าสุด

ศึกไทย–กัมพูชา สองสมรภูมิ : กับดัก UNSCความเสี่ยงต้องระวัง