การปฏิรูปตำรวจ สร้างความเป็นธรรมให้สังคมไทย
จนกระทั่งถึงนาทีนี้เกือบไม่มีใครตั้งคำถามอีกแล้วว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสมควรจะได้รับการปฏิรูปเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนในสังคมไทยหรือไม่
โดย...สังศิต พิริยะรังสรรค์
จนกระทั่งถึงนาทีนี้เกือบไม่มีใครตั้งคำถามอีกแล้วว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสมควรจะได้รับการปฏิรูปเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนในสังคมไทยหรือไม่ เพราะเหตุว่าในช่วง 5-6 ปีสุดท้ายนี้ ตำรวจจำนวนมากได้สร้างความทุกข์ทั้งที่เปิดเผยต่อสาธารณชนและที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยนานัปการให้แก่สุจริตชนจำนวนนับสิบล้านคนทั่วประเทศ
คำถามสำคัญขององค์กรตำรวจในวันนี้คือจะปฏิรูปองค์กรนี้อย่างไรจึงจะสามารถสร้างความเป็นธรรมให้แก่คนไทยได้ จุดมุ่งหมายของการปฏิรูปตำรวจในครั้งนี้ควรมีอย่างน้อยที่สุด 3 ประการ คือ 1) ให้องค์กรตำรวจเป็นกลางทางการเมือง 2) ให้องค์กรตำรวจสามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และ 3) ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรตำรวจให้มีความรับผิดรับชอบต่อหน้าที่ และให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น
หลักการสำคัญของการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้ควรมีอย่างน้อยที่สุด 5 ประการ คือ 1) ทำให้ตำรวจเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นกลางทางการเมือง ให้ตำรวจเป็นตำรวจมืออาชีพที่นักการเมืองไม่สามารถเข้ามาแทรกแซงในกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจได้อีกต่อไป 2) การกระจายอำนาจขององค์กรตำรวจ โดยยึดถือหลักที่ประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงจากการกระจายอำนาจในครั้งนี้
3) มีองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลนโยบายของตำรวจและการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ โดยยึดถือระบบคุณธรรม ความสามารถและอาวุโส 4) ให้ภาคประชาสังคมเข้ามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลนโยบายและการปฏิบัติงานของตำรวจ และ 5) โอนงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาระหน้าที่ที่แท้จริงของตำรวจกลับไปที่หน่วยงานเดิม ให้คงเหลือไว้เฉพาะที่เป็นงานของตำรวจจริงๆ เพื่อบรรลุถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิรูปตำรวจตามหลักการข้างต้น ผู้เขียนใคร่ขอเสนอความคิดเห็น 9 ประการดังต่อไปนี้คือ :
1) ในส่วนกลางให้คงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อใช้ประสานงานกับหน่วยงานตำรวจทั่วประเทศ
2) กระจายอำนาจที่รวมศูนย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกเป็นหน่วยงานตำรวจระดับจังหวัดจำนวน 77 จังหวัดทั่วประเทศ และให้หน่วยงานตำรวจระดับจังหวัดเป็นนิติบุคคล การกระจายอำนาจตามแนวทางนี้จะทำให้ขั้นตอนการทำงานของตำรวจรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตำรวจจะมีทรัพยากรในการทำงานมากขึ้น เพราะองค์กรตำรวจมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก คดีความต่างๆ และความยุติธรรมที่ประชาชนจะได้รับจะจบลงที่จังหวัดของตัวเอง
3) ยกเลิกกองบัญชาการตำรวจภาคต่างๆ เพราะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยตรง เนื่องจากกองบัญชาการตำรวจเหล่านี้ทำงานด้านบริหารงานบุคคลของตำรวจเป็นหลัก เมื่อเป็นตำรวจจังหวัดเหมือนสากลประเทศแล้ว การบริหารงานบุคคลจะทำได้ง่ายขึ้น
4) ถ่ายโอนงานที่ไม่ใช่ของตำรวจกลับไปที่หน่วยงานต้นสังกัดเดิม เช่น ตำรวจท่องเที่ยวให้ไปขึ้นกับกระทรวงการท่องเที่ยวฯตำรวจรถไฟให้โอนไปที่การรถไฟฯ ตำรวจทางหลวงให้โอนไปอยู่ที่กรมทางหลวง ตำรวจป่าไม้ให้โอนไปที่กรมป่าไม้ ตำรวจปราบปรามยาเสพติดให้โอนไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หน่วยงานเหล่านี้มีประมาณ 10 หน่วยงาน มีกำลังพลทั้งประเทศราว 3-4 หมื่นคน เมื่อโอนย้ายไปแล้วกองบัญชาการสอบสวนกลางจะเหลือแต่กองปราบเป็นหลัก ขนาดองค์กรตำรวจจะเล็กลง
5) ยกเลิกคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ซึ่งเป็นองค์กรที่นักการเมืองและอดีตตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใช้ประโยชน์ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจอย่างไม่เป็นธรรมมาโดยตลอด องค์กรที่จัดตั้งขึ้นใหม่เพื่อมาทำหน้าที่ดูแลกำกับนโยบาย โดยหลักการแล้วควรให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการในการกำกับดูแลกิจการตำรวจ เพื่อให้องค์กรสามารถยึดโยงกับประชาชนเอาไว้
คณะกรรมการที่เหลือควรมีการกำหนดหลักเกณฑ์ใหม่ในการสรรหาบุคคลเหล่านี้เข้ามา โดยมีข้าราชการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตัวแทนที่แท้จริงของภาคประชาสังคม ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทุกสถานีตำรวจควรมีคณะกรรมการในลักษณะเดียวกันนี้ ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศที่เหลือ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการตำรวจ
สำหรับคณะกรรมการที่เหลือต้องมีตัวแทนภาคประชาสังคมที่แท้จริงเป็นกรรมการร่วมกับตัวแทนจากหน่วยราชการต่างๆ สิ่งที่จำเป็นต้องย้ำก็คือตำรวจจังหวัดไม่ได้ขึ้นกับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น แต่ขึ้นกับคณะกรรมการที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน
6) งานสอบสวนเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการยุติธรรม แต่ระบบตำรวจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันพนักงานสอบสวนไม่สามารถรักษาความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนได้ เพราะตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน ยังตกอยู่ภายใต้ระบบตำรวจที่ปกครองแบบทหารคือ เน้นวินัยแบบทหารที่ผู้บังคับบัญชาออกคำสั่ง แล้วพนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้น ผู้บังคับบัญชายังสามารถให้คุณให้โทษต่อตำรวจที่ทำงานด้านสอบสวนด้วย ดังนั้นระบบการสอบสวนของตำรวจในปัจจุบันจึงขาดความเป็นอิสระ ผู้บังคับบัญชาทุกระดับตลอดจนนักการเมืองสามารถเข้ามาแทรกแซงการทำงานด้านการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้ระบบการสอบสวนจึงไม่สมควรอยู่ภายใต้สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกต่อไป โดยให้แยกหน่วยงานด้านการสอบสวนของตำรวจออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจทั่วไปมีหน้าที่สำคัญคือการป้องกันไม่ให้ประชาชนทำผิดกฎหมายและทำงานด้านการสืบสวนเป็นหลัก ส่วนงานด้านการสอบสวนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรม ให้แยกออกมาเป็นกรมสอบสวน
การปฏิรูประบบตำรวจที่สำคัญประการหนึ่งในคราวนี้คือการทำให้งานสอบสวนของตำรวจกับอัยการเป็นเนื้อเดียวกันให้ได้ อัยการต้องเข้ามาควบคุมงานสอบสวนเป็นหลักเหมือนสากลประเทศทั่วไป ในคดีอาญาที่สำคัญๆ หรือคดีที่ประชาชนมาฟ้องร้อง อัยการต้องเข้ามาดูแลและรับผิดชอบงานเหล่านี้โดยตรง
สำหรับคดีอาญาทั่วๆ ไป ตำรวจที่ทำงานด้านการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของอัยการ พนักงานตำรวจที่ทำงานด้านการสอบสวนยังคงนั่งทำงานบนสถานีตำรวจจำนวน 1,500 แห่งทั่วประเทศเหมือนเดิม เพียงแต่สายการบังคับบัญชาเปลี่ยนไป และพวกเขายังต้องทำงานกับตำรวจด้านสืบสวนอยู่
กรมสอบสวนคดี อาจเอากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามารวมกันก็ได้ โดยกรมนี้อาจแยกงานออกเป็นสองส่วนคือคดีอาญากับคดีพิเศษ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ด้านการทำงาน
7) ในรอบหลายปีที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้แสดงให้เห็นว่าผู้นำองค์กรต่างวิ่งเข้าหานักการเมืองที่มีอำนาจมาโดยตลอด ดังนั้นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในครั้งนี้จะต้องให้ความสนใจกับการปรับปรุงสำนักงานอัยการสูงสุดให้เป็นอิสระจากการเมืองด้วย
8) การปฏิรูปโครงสร้างตำรวจดังที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังไม่เป็นการเพียงพอ จะต้องมีการปฏิรูปวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจควบคู่กันไปด้วย วัฒนธรรมเจ้านายไถลูกน้อง วัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์ แบบพวกพ้อง แบบวิ่งเข้าหานักการเมือง การวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งและวัฒนธรรมด้านได้อายอด ฯลฯ ต้องมีการให้การศึกษาแก่ตำรวจ และให้ตำรวจร่วมกันรณรงค์ต่อต้านการทุจริตภายในองค์กรของตนอย่างกว้างขวาง และ
9) ปรับปรุงโครงสร้างของตำรวจที่ถอดแบบมาจากทหาร และจัดหมวดหมู่แบบทหาร ซึ่งทำให้เกิดการใช้วัฒนธรรมแบบนายกับลูกน้อง และตำรวจชั้นสัญญาบัตรกับตำรวจชั้นประทวนแบบทหาร ให้ตำรวจมีลักษณะของข้าราชการพลเรือนให้มากขึ้น ตำรวจทั่วไปต้องกระจายลงไปอยู่ตามชุมชนต่างๆ ในพื้นที่ความรับผิดชอบของตน เพื่อหาทางป้องกันและป้องปรามมิให้เกิดอาชญากรรมขึ้น


