ธรรมที่น่าปรารถนา 10 ประการ
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สืบเนื่องจากอาทิตย์ที่แล้ว MQ ได้ยกเอาเรื่องของมิตรและธรรมเครื่องรักษามิตร จากพระสูตรชื่อ “อิฏฐสูตร”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สืบเนื่องจากอาทิตย์ที่แล้ว MQ ได้ยกเอาเรื่องของมิตรและธรรมเครื่องรักษามิตร จากพระสูตรชื่อ “อิฏฐสูตร” ซึ่งนอกจากจะเกี่ยวกับเรื่องมิตรแล้วยังมีเรื่องธรรมอื่นๆอีก 9 ประการ รวมเป็น 10 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า เป็นธรรม 10 ประการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ หาได้ยากในโลก วันนี้จึงขอนำมาแสดงให้ครบทั้ง 10 ประการ รวมทั้งวิธีการที่จะทำให้ธรรม 10 ประการเจริญ
ในอิฏฐสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม 10 ประการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ หาได้ยากในโลก โดยในอรรถกถาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมไว้มากนัก จึงขออธิบายตามความเข้าใจของผู้เขียน ดังนี้
ข้อแรกก็คือ “โภคสมบัติ” หมายถึง ทรัพย์สินเงินทอง ทั้งสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์
ข้อที่สอง คือ “วรรณะ” หมายถึง ผิวพรรณ คือ ความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม ใครเห็นก็เจริญหูเจริญตาน่ามอง
ข้อที่สาม คือ “ความไม่มีโรค” คือ ความมีสุขภาพดี แข็งแรงตามวัย ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นโรคเรื้อรัง ต้องทุกข์กายเพราะความป่วยไข้
ข้อที่สี่ คือ “ศีล” คือ การงดเว้นไม่กระทำชั่ว การรักษาศีล 5 เป็นต้น ซึ่งต้องมีที่มาจากใจที่คิดงดเว้นไม่กระทำบาปกรรมเหล่านั้น
ข้อที่ห้า คือ “พรหมจรรย์” หมายถึง การประพฤติที่ประเสริฐกว่าการครองเรือนทั่วๆ ไป คือ การเว้นจากกาม ได้แก่ การออกบวช หรือการถือศีล 8 เป็นต้น
ข้อที่หก คือ “มิตร” หมายถึง กัลยาณมิตร คือ เพื่อนผู้ที่ดีที่จริงใจและชักจูงไปในทางที่ดีที่เป็นบุญกุศล
ข้อที่เจ็ด คือ “ความเป็นพหูสูต” หมายถึง ความเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่ศึกษามามาก ได้ยินได้ฟังสิ่งที่เป็นความรู้เป็นประโยชน์มามาก
ข้อที่แปด คือ “ปัญญา” หมายถึง ความรู้ที่ถูกต้อง ความฉลาดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น ฉลาดในคุณงามความดี การรู้จักคิดแก้ปัญหาได้ถูกต้องและรู้ธรรมต่างๆ
ข้อที่เก้า คือ “ธรรม” บางตำราแสดงไว้ว่า หมายถึง โลกุตตรธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน แน่นอนที่ผู้ใดมีธรรมขั้นสูงเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนาแน่นอน และสูงสุด แม้แต่ธรรมระดับโลกียะ เช่น การเป็นผู้มีสมาธิ ได้ฌาน เป็นต้น หรือการรู้พระปริยัติธรรมก็เป็นประโยชน์มิใช่น้อย และเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาหาได้ยากเช่นกันในสังคมปัจจุบันนี้
ข้อที่สิบ คือ “สัตว์ทั้งหลาย” น่าจะหมายถึง สัตว์อื่น ทั้งมนุษย์และสัตว์ต่างๆ ด้วย ได้แก่ บริวารชน สัตว์เลี้ยง และสัตว์อื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เรา เป็นต้น
สำหรับสิ่งที่ทำให้ธรรม 10 ประการนี้เจริญ มีดังนี้
อาหารของ “โภคสมบัติ” คือ ความไม่เกียจคร้าน ความขยันหมั่นเพียร
อาหารของ “วรรณะ” คือ การประดับ ตกแต่งร่างกาย
อาหารของ “ความไม่มีโรค” คือ การกระทำเป็นที่สบาย เช่น การรับประทานอาหารและการออกกำลังกายที่เหมาะสม เป็นต้น
อาหารของ “ศีล” คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี
เพราะกัลยาณมิตรย่อมชักชวนให้กระทำดี ห้ามไม่ให้กระทำชั่ว
อาหารของ “พรหมจรรย์” คือ การสำรวมอินทรีย์ ไม่ไปในที่อโคจรทั้งหลาย เป็นต้น
อาหารของ “มิตร” คือ การไม่แกล้งกล่าวให้คลาดจากความจริง
อาหารของ “ความเป็นพหูสูต” คือ การสาธยาย หมายถึง การท่อง การจดจำสิ่งที่ได้เรียน ได้ฟังมาแล้วจึงจำได้ไม่เสื่อมถอย ไม่หลงลืม ผิดพลาด
อาหารของ “ปัญญา” คือ การฟังด้วยดีและการสอบถาม
อาหารของ “ธรรม” คือ การประกอบความเพียรและการพิจารณา
อาหารของ “สัตว์ทั้งหลาย” คือ การปฏิบัติชอบ ผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์อื่น ทั้งมนุษย์และสัตว์ให้เดือดร้อน ย่อมนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของสัตว์ทั้งหลาย
ในทางตรงกันข้ามหากปฏิบัติตรงกันข้ามกับอาหารของธรรม ก็จะเป็นทางเสื่อม เป็นอันตรายแก่ธรรมเหล่านั้น ในแต่ละข้อๆ ตามลำดับ...


