posttoday

โรงเรียนขนาดเล็ก เสียเปรียบโรงเรียนขนาดใหญ่

14 มิถุนายน 2553

....ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์

สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ มหาชน) หรือ สมศ. ได้เปิดเผยผลการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รอบสอง ระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549–2552

ประกอบด้วย โรงเรียนที่สังกัดท้องถิ่น สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และสังกัดท้องถิ่นเทศบาล (อปท.)

การประเมินในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.สถานศึกษาระดับปฐมวัย (อายุ 35 ขวบ) ที่ประเมินไปแล้ว 26,369 โรง 2.สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน อีกจำนวน 28,938 โรง

สถานศึกษาที่จัดการศึกษาปฐมวัยนั้น หากจำแนกตามสังกัดจะพบว่า โรงเรียนสังกัดสาธิตได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษามากที่สุดคือ 95.24% สังกัด กทม. 94.88% สังกัดเทศบาล 92.44% และสังกัด สพฐ. 80.62%

แต่ถ้าจำแนกตามขนาดพบว่าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษได้รับการรับรองมากที่สุดถึง 98.35% ขนาดใหญ่ 95.86% ขนาดกลาง 90.25% และขนาดเล็ก 78.32%

นอกจากนี้ ยังมีการจำแนกตามสถานที่ตั้ง โดยพบว่าที่ตั้งอยู่ในเมือง (เขตอำเภอเมือง) และได้รับการรับรองมีถึง 85.98% ที่ตั้งอยู่นอกเมือง 80.61% รวมทั้งสิ้นมีโรงเรียนระดับปฐมวัยผ่านการรับรอง 21,538 โรง จากการประเมิน 26,369 โรง คิดเป็น 81.68%

ส่วนสถานศึกษาระดับประถมศึกษา/มัธยมศึกษานั้นมีการจำแนกตามระดับชั้นที่เปิดสอนและสังกัด โดยเปรียบเทียบเป็นร้อยละ พบว่าโรงเรียนทุกสังกัดที่เปิดสอนในระดับชั้นประถมศึกษาอย่างเดียวจะได้รับการรับรองมากที่สุด รองลงมาคือที่เปิดการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ส่วนที่เปิดเฉพาะระดับมัธยมศึกษานั้นจะได้รับการรับรองน้อยที่สุด

แต่หากจำแนกตามระดับชั้นที่เปิดสอนและขนาด จะพบว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับโรงเรียนปฐมวัย คือ โรงเรียนที่มีขนาดใหญ่พิเศษย่อมได้รับรองมากที่สุด ไม่ว่าจะเปิดสอนในระดับประถมศึกษา ประถมศึกษาควบมัธยมศึกษา หรือมัธยมศึกษาเพียงอย่างเดียว คือ 99.05% 97.02% 98.56% ตามลำดับ รองลงมาคือขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก

นอกจากนี้ ถ้าจำแนกตามสถานที่ตั้งก็มีลักษณะเดียวกันกับโรงเรียนปฐมวัยอีกเช่นกัน คือโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเมืองจะได้รับการรับรองมากกว่าโรงเรียนที่ตั้งอยู่นอกเมือง

รวมทั้งสิ้นมีสถานศึกษาระดับการศึกษาพื้นฐาน ผ่านการรับรอง 23,706 โรง จากการประเมิน 28,938 โรง คิดเป็น 81.92%

จะเห็นได้ว่าผลการประเมินคุณภาพสถานศึกษาทั้ง 2 ระดับ มีสูงกว่า 80% ซึ่งจะส่งผลถึงคุณภาพของระบบการศึกษาในภาพกว้าง

ผมคิดว่าสาเหตุที่โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษผ่านการประเมินคุณภาพมากที่สุด เป็นเพราะขนาดของโรงเรียนจะส่งผลต่อจำนวนนักเรียน จำนวนทุนหมุนเวียน ความสามารถในการจ้างผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์ต่างๆ ด้วย

ส่วนโรงเรียนขนาดเล็กยังคงต้องประสบปัญหาการประเมินคุณภาพอย่างเรื้อรังต่อไป เนื่องจากเป็นโรงเรียนเล็ก ที่มีบุคลากรน้อย และขาดแคลนครุภัณฑ์ต่างๆ เมื่อเข้ารับการประเมินก็ไม่ผ่านเกณฑ์ เมื่อไม่ผ่านก็ไม่มีนักเรียน ไม่มีบุคลากร และก็ไม่มีวันที่จะพัฒนาขึ้นมาได้

ผมอยากเสนอให้รัฐบาลเร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างบูรณาการในทุกระดับการศึกษาโดยใช้พื้นที่และโรงเรียนเป็นฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพของโรงเรียนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และให้ส่งเสริมการแก้ปัญหาการศึกษาในพื้นที่ท้องถิ่น และต้องการให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณด้านครู สื่อ และเทคโนโลยีให้โรงเรียนขนาดเล็กด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผลการประเมินคุณภาพเฉลี่ยรายมาตรฐานของสถานศึกษาที่ได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกที่น่าสนใจ และสะท้อนถึงความเป็นจริงในระบบการศึกษาไทยได้เป็นอย่างดี

ผลการวิเคราะห์ ระบุว่า ค่าเฉลี่ยการประเมินสูงสุด คือผู้บริหารมีภาวะผู้นำและมีความสามารถในการบริหารจัดการ ส่วนค่าเฉลี่ยที่ต่ำสุดคือผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ มีความคิดสร้างสรรค์ คิดไตร่ตรอง และมีวิสัยทัศน์

สำหรับการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานรอบสองนั้น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศ อันนำไปสู่มาตรฐานทางการศึกษาในระดับสากล โดยจะประเมินอย่างน้อยหนึ่งครั้งในทุกห้าปี มีวัตถุประสงค์คือ ยืนยันสภาพจริงในการดำเนินงานของสถานศึกษา

สะท้อนให้เห็นถึงจุดเด่น จุดด้อย สาเหตุของปัญหาและเงื่อนไขของความสำเร็จอีกด้วย

ข่าวล่าสุด

นายกฯอนุทินหาทางช่วยคนไทยตกค้างกัมพูชากลับประเทศปลอดภัย