จับตามองคดีคอร์รัปชั่น
ผู้เขียนขอเริ่มต้นบทความนี้โดยกล่าว “สวัสดีปีใหม่” กับผู้อ่านทุกท่าน ถึงแม้ว่ากว่าบทความนี้จะได้ลงตีพิมพ์ก็คงเป็นวันพุธที่ 7 ม.ค.แล้ว แต่ก็คิดว่ายังไม่ช้าเกินไป เพราะเป็นการพบกันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2558 นี้ และก็เป็นธรรมดาที่ปีใหม่ทั้งทีก็พยายามมองหาอะไรดีๆ กันบ้างให้สมกับที่ปีที่แล้ว พยายามสร้างความหวังว่า “ปีหน้าฟ้าใหม่” มาถึงน่าจะมีอะไรดีๆ บ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่ คสช.เข้ามาแก้ปัญหาคับขันของบ้านเมืองไปได้เปลาะหนึ่งแล้วก็ต้องมานั่งดูกันว่าอะไรๆ จะเดินไปได้ตามครรลองคลองธรรมหรือไม่ อะไรๆ ในที่นี้ของผู้เขียนก็คือ การคอร์รัปชั่น หรือการยินยอมให้พรรคพวกเพื่อนฝูงทำเรื่องที่ผิดกฎหมายกันอย่างน่าชื่นตาบาน จนกลายเป็นมือใครยาวสาวได้สาวเอา
ผู้เขียนขอเริ่มต้นบทความนี้โดยกล่าว “สวัสดีปีใหม่” กับผู้อ่านทุกท่าน ถึงแม้ว่ากว่าบทความนี้จะได้ลงตีพิมพ์ก็คงเป็นวันพุธที่ 7 ม.ค.แล้ว แต่ก็คิดว่ายังไม่ช้าเกินไป เพราะเป็นการพบกันครั้งแรกในปี พ.ศ. 2558 นี้ และก็เป็นธรรมดาที่ปีใหม่ทั้งทีก็พยายามมองหาอะไรดีๆ กันบ้างให้สมกับที่ปีที่แล้ว พยายามสร้างความหวังว่า “ปีหน้าฟ้าใหม่” มาถึงน่าจะมีอะไรดีๆ บ้าง โดยเฉพาะหลังจากที่ คสช.เข้ามาแก้ปัญหาคับขันของบ้านเมืองไปได้เปลาะหนึ่งแล้วก็ต้องมานั่งดูกันว่าอะไรๆ จะเดินไปได้ตามครรลองคลองธรรมหรือไม่ อะไรๆ ในที่นี้ของผู้เขียนก็คือ การคอร์รัปชั่น หรือการยินยอมให้พรรคพวกเพื่อนฝูงทำเรื่องที่ผิดกฎหมายกันอย่างน่าชื่นตาบาน จนกลายเป็นมือใครยาวสาวได้สาวเอา
แต่ดูทีท่าว่าเมื่อวางทุกอย่างไว้จนทำท่าจะเข้ารูปเข้ารอยแล้วกลับมีการเดินต่อไปอย่างล่าช้าไม่ถึงจุดหมายปลายทางเสียที อย่างเรื่องการคอร์รัปชั่นที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นออกมาแถลงข่าวเมื่อต้นเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา โดยยกตัวอย่างการโกง 15 เรื่อง (ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิด) ที่ล้วนอยู่ในความสนใจของประชาชนว่ามีความล่าช้าหรือไม่คืบหน้า โดยแบ่งเป็น 1.คดีที่รอคำอธิบาย เช่น คดีโกงลำไย คดีรถหรู ฯลฯ 2.คดีที่คาราคาซัง คาใจ เช่น ทุจริตจำนำข้าว คดีนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ฯลฯ 3.คดีที่รออัยการ เช่น กรณีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ และ 4.คดีที่ต้องไม่กะพริบตา เช่น กรณีบริษัท ไร่ส้ม ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรณี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ฯลฯ ซึ่งคดีคอร์รัปชั่นต่างๆ ข้างต้นนี้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นแถลงว่ามีการใช้เวลาในขั้นตอนต่างๆ ยาวนานมาก เช่น ในขั้นการทำงานของ ป.ป.ช. ใช้เวลา 2-5 ปี ขั้นตอนของอัยการถึงศาลใช้เวลา 1-2 ปี ขั้นตอนศาลชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกา ใช้เวลา 6-8 ปี เช่น คดีบริษัท ไร่ส้ม เข้าสู่กระบวนการของ ป.ป.ช. ปี พ.ศ. 2550 ไปจนถึงอัยการส่งฟ้องคือปี พ.ศ. 2555 จนป่านนี้ยังไม่เสร็จ
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ประชาชนทั่วไปไม่ใช่แต่เฝ้าจับตาดูผลของคำตัดสินสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังมองต่อไปว่า เมื่อตัดสินแล้วจะมีการสืบสวนขยายผลต่อไปหรือไม่ เนื่องจากตามธรรมเนียมไทยๆ เราผลการตัดสินมักจะตกอยู่ที่แพะเพียงไม่กี่ตัวแล้วก็จบ ไม่มีการสืบสาวราวเรื่องขยายผลต่อไปถึงผู้สั่งการ ต่างจากคดีโดยทั่วๆ ไป เช่น คดีฆาตกรรมที่มีผู้จ้างวานก็ยังสืบขยายผลจนไปเอาผิดกับผู้จ้างวานได้ ขณะที่คดีอย่างเช่นการคอร์รัปชั่นหรือการเอาผิดนักการเมือง กลับหยุดอยู่เพียงแค่ผลรับแรกเท่านั้น ดังกล่าวแล้วข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองกันตาไม่กะพริบ
ยิ่งเดือน ม.ค.นี้ มีคดีถอดถอนเข้าสู่กระบวนการ สนช.ถึง 3 คดี คือ
1.การถอดถอนอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
2.การถอดถอนอดีตประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์
3.การถอดถอนอดีตประธานวุฒิสภา นิคม ไวยรัชพานิช
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งสามท่านนี้มีความเกี่ยวโยงกันมากบ้างน้อยบ้างกับอดีตนายกฯ ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ
ความน่าจับตามองจึงอาจต้องแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่หนึ่ง จะมีการถอดถอนหรือไม่ ตอนนี้ก็เริ่มมีเสียงหนาหูขึ้นทุกทีว่าจะไม่ถอดถอน โดยอ้างความปรองดอง
คำถามที่ผู้เขียนอยากถามกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือ การลงโทษคนผิดกับความปรองดองเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่าน สนช.ทั้งหลายจะไม่หลงประเด็น อย่าเอาความใจอ่อนรู้จักให้อภัยของคนไทยมาเป็นของเล่น เพราะที่ผ่านมาประเทศชาติก็แทบจะล่มจมไปแล้ว ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว อย่าปล่อยให้หลุดมือไปอีก
ขั้นตอนที่สอง จึงควรสืบสาวราวเรื่องขยายผลต่อไป ให้คนผิดต้องรับโทษตามกฎหมาย รวมทั้งผู้สั่งการและผู้เกี่ยวข้อง เรียกว่าการผ่าตัดครั้งนี้ต้องเป็นผ่าตัดใหญ่ เลาะเอาเนื้อร้ายออกให้หมด หากต้องทำคีโมก็ต้องทำ แล้วมาฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงทีหลังได้
ปีนี้เป็นปีแพะ เจอแพะแค่ปีคงจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องเจอแพะที่มารับบาปอีกหลายๆ ตัว ไหนๆ รัฐบาลก็คืนความสุขให้ประชาชนเป็นระยะๆ แล้ว คราวนี้ทั้งสนช.ที่ตั้งมาโดย คสช.และรัฐบาลช่วยกันให้ของขวัญปีใหม่กับประชาชนอีกสักครั้งก็คงจะดี


