ดันไทยฮับภูมิภาค งานหินรัฐบาล
การเดินหน้ามาตรการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Head Quarter : IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Company : ITC) ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางและยาว
การเดินหน้ามาตรการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Head Quarter : IHQ) และบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Company : ITC) ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะปานกลางและยาว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือน และจะดันไทยเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน การบริการ และการลงทุน ทั้งของภูมิภาคและของโลก
ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบมาตรการ IHQ และ ITC โดยสาระสำคัญคือ การลดหย่อนภาษี ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงมาตรการอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อดึงนักลงทุน บริษัทข้ามชาติชั้นนำของโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามชาติในไทย
สำหรับสิทธิประโยชน์ของ IHQ ซึ่งเป็นธุรกรรมบริการที่เกิดกับธุรกิจในเครือ จะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคล ในส่วนเงินได้ที่ได้รับจากค่าบริการ ค่าสิทธิ เงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจในเครือที่อยู่ต่างประเทศ โดยลดเหลือ 10% จาก 20%
นอกจากนี้ ยังลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เหลือ 10% สำหรับการจัดซื้อสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ หรือสินค้าชั้นกลางภายในประเทศ และขายให้กับบริษัทในเครือที่อยู่ต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิต ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับยอดขายจากการจัดซื้อและขายสินค้าในต่างประเทศ ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับต่างชาติระดับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้บริหารเหลือ 15%
ยังมีการยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการให้กู้ต่อแก่บริษัทในเครือทั้งในและต่างประเทศ และยกเว้นภาษีหัก ณ ที่จ่าย สำหรับเงินปันผลที่จ่ายโดย IHQ ไปยังต่างประเทศ
ด้าน ITC จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับยอดขายจากการจัดซื้อและขายสินค้าในต่างประเทศ ลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 10% สำหรับยอดขายจากการจัดซื้อสินค้าที่เป็นวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางในประเทศ และขายให้บริษัทในเครือที่อยู่ต่างประเทศเพื่อไปใช้ในการผลิต และยกเว้นภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย สำหรับเงินปันผลที่จ่ายโดย ITC ไปต่างประเทศ
นอกจากนี้ ครม.ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขอุปสรรค การอนุญาตทำงาน การออกวีซ่า เพื่ออำนวยความสะดวกสนับสนุนการตั้ง IHQ และ ITC โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จสำหรับการดำเนินการ IHQ และ ITC อีกด้วย
การส่งเสริมสนับสนุนการตั้ง IHQ และ ITC ครั้งใหญ่นี้ ไทยตั้งเป้าจะช่วงชิงการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาคจากสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่เวลานี้เป็นเจ้าของการตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ เพราะมีการสนับสนุนเรื่องนี้มานาน 20-30 ปี โดยการวิจัยของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่า ในสิงคโปร์มีสำนักงานข้ามชาติแล้วกว่า 1,200 แห่ง ขณะที่มาเลเซียมีกว่า 800 แห่ง
ผลวิจัยของ สศค.ยังระบุว่า IHQ และ ITC จะก่อให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจหลายด้าน เช่น ภาระภาษีของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติลดลง และระบบภาษีเอื้ออำนวยต่อการลงทุนระหว่างประเทศ กฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อการทำธุรกิจและการใช้ชีวิตของทั้งนักธุรกิจไทยและต่างชาติ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนไทยและต่างชาติ และเพิ่มธุรกิจและรายได้ให้แก่ประเทศ
ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า การสนับสนุน IHQ และ ITC จะทำให้กรมสรรพากรเก็บภาษีมากขึ้น แม้ว่าจะเก็บในอัตราต่ำ และการมีการยกเว้นมาก แต่หากไม่มีการสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาเปิดสำนักงานใหญ่ในไทย ประเทศก็ไม่มีทางเก็บรายได้ในส่วนนี้เพิ่ม
อย่างไรก็ตาม การดัน IHQ และ ITC ของไทยให้เทียบเท่า หรือประสบความสำเร็จเหมือนสิงคโปร์และ มาเลเซีย ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะเห็นว่าทั้งสองประเทศต้องใช้เวลาถึง 20-30 ปี จึงจะมายืนหัวแถวได้ ดังนั้นไทยก็ต้องใช้เวลาอีกเป็นสิบปี จึงจะเห็นเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมา
นอกจากนี้ สิงคโปร์และมาเลเซียทำเรื่องนี้สำเร็จ เพราะไม่ได้สนับสนุนด้านภาษีอย่างเดียว แต่สนับสนุนทุกด้าน ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคต่างๆ รวมถึงบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งทั้งหมดเป็นข้อจำกัดของไทย
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีปัญหาสำคัญ คือ การเมืองไม่มีเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย ทำให้การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจไม่ต่อเนื่อง นักลงทุนไม่มั่นใจในการมาตั้งสำนักงานข้ามชาติในไทย
ที่สำคัญ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ไทยมีมาตรการให้ต่างชาติมาเปิดสำนักงานภูมิภาค หรือ Regional Operating Headquarters (ROH) แต่จนถึงวันนี้มีต่างชาติมาใช้สิทธิเพียง 120 บริษัทเท่านั้น ปัญหามาจากหลายสาเหตุ เช่น ROH ของไทยมีเงื่อนไขมาก ซับซ้อน ยุ่งยาก และไม่มีความยืดหยุ่น ยิ่งกว่านั้นยังมีโทษปรับหากบริษัทผิดเงื่อนไข ขณะที่ของสิงคโปร์และมาเลเซียมาตรการมีความยืดหยุ่นและเงื่อนไขไม่ยุ่งยาก แถมสิทธิประโยชน์ทางภาษีดีกว่าของไทย
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนโยบายจาก
การส่งเสริม ROH มาเป็น IHQ นั้น รัฐบาลไม่อนุญาตให้ 120 บริษัทที่ใช้สิทธิ ROH ได้สิทธิ IHQ ที่ดีกว่าโดยอัตโนมัติ โดยจะต้องยื่นเรื่องขอใหม่ เป็นการตอกย้ำความไม่แน่นอนของนโยบาย ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ
ดังนั้น รัฐบาลยังต้องดำเนินการอีกมาก หากต้องการผลักดันให้ IHQ และ ITC เกิดขึ้นได้ และประสบความสำเร็จเหมือนสิงคโปร์และมาเลเซีย อันดับแรกคือ ทำอย่างไรให้ผู้ได้รับสิทธิ ROH ได้สิทธิ IHQ ก่อน เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุน เพราะหากดูตามข้อเท็จจริง IHQ เหมือนเป็นการอัพเกรดจาก ROH คนที่ได้สิทธิ ROH จึงควรได้อัพเกรด IHQ
ไปด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องติดตามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการอำนวยความสะดวกของการใช้สิทธิ IHQ และ ITC ไม่ใช่ต่างคนต่างทำเหมือนการขอสิทธิ ROH จนทำให้การดึงต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานตัวแทนในไทยไม่ประสบความเร็จ
ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องเร่งแก้จุดอ่อนสำคัญ ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การสื่อสารที่พัฒนาไปช้า การพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาตั้ง IHQ และ ITC ในไทย รวมทั้งเร่งพัฒนาคนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาวและต้องเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้
เพราะไม่เช่นนั้นการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจของภูมิภาค เป็นเรื่องที่ยังเห็นทางไปถึงเป้าหมายได้ยาก


