posttoday

ฝนดาวตกคนคู่

07 ธันวาคม 2557

ฝนดาวตกคนคู่เป็นฝนดาวตกที่มีอัตราตกสูง เกิดขึ้นในฤดูหนาวของประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสที่ท้องฟ้าจะเปิด

ฝนดาวตกคนคู่เป็นฝนดาวตกที่มีอัตราตกสูง เกิดขึ้นในฤดูหนาวของประเทศไทย ซึ่งมีโอกาสที่ท้องฟ้าจะเปิด ทำให้เป็นฝนดาวตกที่น่าสนใจที่สุดในรอบปี โดยเฉพาะในปีที่ไม่มีแสงจันทร์รบกวน สำหรับปีนี้จะมีแสงจากดวงจันทร์สว่างครึ่งดวงรบกวนหลังตี 1 แต่เราสามารถสังเกตฝนดาวตกกลุ่มนี้ได้ตั้งแต่ 2 ทุ่ม คาดว่าจะมีอัตราตกสูงสุดในคืนวันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค. 2557

ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเคลื่อนผ่านเข้าไปในฝูงสะเก็ดดาวซึ่งเคลื่อนที่เป็นสายในอวกาศ นักดาราศาสตร์เรียกว่าธารสะเก็ดดาว เกิดจากดาวหางปล่อยสะเก็ดดาวทิ้งไว้เมื่อได้รับแสงอาทิตย์และลมสุริยะ ดาวหางคาบสั้น ซึ่งหมายถึงดาวหางที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบน้อยกว่า 200 ปี ปล่อยสะเก็ดดาวสะสมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานนับร้อยหรือนับพันปี ทำให้มีสะเก็ดดาวจำนวนมากถูกทิ้งไว้ในอวกาศ และมีการเคลื่อนที่ในวงโคจรใกล้เคียงกับดาวหางต้นกำเนิด

หากวงโคจรของดาวหางหรือของธารสะเก็ดดาวตัดผ่านใกล้วงโคจรโลก ก็มีโอกาสที่สะเก็ดดาวจำนวนมากจะเคลื่อนที่เข้าสู่บรรยากาศโลกในทิศทางขนานกัน มองเห็นเป็นดาวตกหลายดวง ด้วยมุมมองในเชิงทัศนมิติ ทำให้เราเห็นว่าดาวตกเหล่านั้นดูเหมือนพุ่งออกมาจากจุดเดียวกันบนท้องฟ้า เรียกบริเวณดังกล่าวว่าจุดกระจาย (Radiant)

ฝนดาวตกคนคู่ต่างจากฝนดาวตกส่วนใหญ่ เพราะนักดาราศาสตร์ได้ค้นพบว่าต้นกำเนิดของฝนดาวตกนี้ไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นดาวเคราะห์น้อย มีชื่อว่าเฟทอน (3200 Phaethon) ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีวงโคจรที่มีความรีสูงมากเมื่อเทียบกับวงโคจรของดาวเคราะห์น้อยทั่วไป จุดใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดของเฟทอนอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าดาวพุธ จุดไกลดวงอาทิตย์ที่สุดอยู่บริเวณแถบดาวเคราะห์น้อย ซึ่งอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี

เฟทอนโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยคาบเพียงหนึ่งปีครึ่ง เป็นไปได้ว่าเฟทอนเคยเป็นดาวหางมาก่อน แต่เข้าใกล้ดวงอาทิตย์หลายครั้งจนน้ำแข็งที่เคยมีอยู่ได้หายไปเกือบหมด จึงไม่ปรากฏหางให้เห็นเป็นดาวหางอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานนี้มีรายงานการตรวจพบหางของเฟทอนขณะที่มันเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ แต่นักดาราศาสตร์คาดว่าหางที่ตรวจพบไม่ได้เกิดจากน้ำแข็ง แต่เกิดจากผิวที่โดนความร้อนสูงจากดวงอาทิตย์ พื้นดินของเฟทอนจึงปริแตก แล้วหลุดออกมาเป็นฝุ่น ซึ่งฝุ่นเหล่านี้ก็กลายเป็นสะเก็ดดาวที่ทำให้เกิดฝนดาวตกคนคู่ด้วย

รายงานการเห็นฝนดาวตกคนคู่มีขึ้นครั้งแรกในทศวรรษ 1860 โดยมีอัตราตกต่ำมากในช่วงแรก จากนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ จนสูงเกิน 100 ดวง/ชั่วโมง ในทศวรรษ 1970-1980 และกลายเป็นฝนดาวตกที่น่าดูที่สุดของปี งานวิจัยเมื่อหลายปีก่อนซึ่งศึกษาการเคลื่อนที่และวงโคจรของธารสะเก็ดดาวในฝนดาวตกคนคู่แสดงว่าปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสังเกตฝนดาวตกคนคู่ เพราะเมื่อถึงสิ้นศตวรรษนี้ ฝนดาวตกคนคู่อาจมีอัตราตกลดลง จนเราอาจไม่ได้เห็นมันอีกในที่สุด เนื่องจากวงโคจรของธารสะเก็ดดาวจะห่างจากวงโคจรของโลกออกไปมากขึ้นจนไม่ ผ่านวงโคจรโลกอีก

ฝนดาวตกมักได้รับการตั้งชื่อตามกลุ่มดาวที่จุดกระจายปรากฏอยู่ ฝนดาวตกคนคู่จึงมีจุดกระจายอยู่ในกลุ่มดาวคนคู่ ปกติฝนดาวตกคนคู่จะเริ่มตกตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. และตกต่อเนื่องไปจนถึงราววันที่ 17 ธ.ค.ของทุกปี โดยมีอัตราต่ำมากในช่วงแรก จากนั้นเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุดราววันที่ 14-15 ธ.ค. อาจสูงถึง 120 ดวง/ชั่วโมง หลังจากนั้นอัตราจะลดลง

จุดกระจายของฝนดาวตกก็มีการเปลี่ยนตำแหน่งไปอย่างช้าๆ ด้วย ช่วงที่ฝนดาวตกคนคู่มีอัตราสูงสุด จุดกระจายอยู่ใกล้ดาวคาสเตอร์ ซึ่งเป็นดาวสว่างที่สุดดวงหนึ่งในกลุ่มดาวคนคู่ (อีกดวงหนึ่งคือพอลลักซ์) ดังนั้นเมื่อดาวคาสเตอร์ขึ้นเหนือขอบฟ้า ก็เป็นสัญญาณว่าสามารถเห็นดาวตกจากฝนดาวตกคนคู่ได้แล้ว

สำหรับประเทศไทย ดาวคาสเตอร์เริ่มปรากฏเหนือขอบฟ้าตั้งแต่ 2 ทุ่ม ดาวตกที่เห็นในช่วงแรกๆ จะมีอัตราต่ำ แต่มักลากเป็นทางยาว เนื่องจากเฉียดเข้ามาในบรรยากาศโลกในแนวเกือบขนานกับผิวโลก หลังจากนั้นอัตราตกจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้คาดว่าประเทศไทยจะเห็นดาวตกจากฝนดาวตกคนคู่ได้ดีที่สุดในคืนวันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค. 2557 โดยช่วงที่ตกถี่ที่สุดคือระหว่างเวลา 23.00-01.00 น. ด้วยอัตรา 60-70 ดวง/ชั่วโมง ดังนั้น หากสังเกตจากที่มืด ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีแสงรบกวน ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงนี้ควรจะนับได้เกิน 100 ดวง

การสังเกตฝนดาวตกไม่ควรมองไปที่จุดกระจาย ดาวตกสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วท้องฟ้า ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องมองไปที่จุดใด แต่ควรมองห่างจากจุดกระจายออกมาพอสมควร และสังเกตจากสถานที่ห่างไกลจากแสงไฟและฝุ่นควันรบกวน ยิ่งอยู่ห่างจากเมืองใหญ่ เห็นดาวบนท้องฟ้าได้มาก ก็ยิ่งมีโอกาสเห็นดาวตกได้มาก การสังเกตฝนดาวตกในเมืองใหญ่แทบเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นจะมีดาวตกที่สว่างมาก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่มีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับดาวตกทั้งหมดที่มีโอกาสเห็นได้จากสถานที่มืดสนิท

ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (7–14 ธ.ค.)

ดาวศุกร์และดาวอังคารเป็นดาวเคราะห์สว่างสองดวงที่เห็นได้บนท้องฟ้าทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ ดาวศุกร์เคลื่อนห่างจากดวงอาทิตย์มากขึ้น แต่ยังอยู่ใกล้ขอบฟ้าเมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด หากมีเมฆหมอกบดบังก็อาจยังสังเกตได้ยากดาวอังคารอยู่ในกลุ่มดาวแพะทะเล ปรากฏอยู่ในทิศเดียวกับดาวศุกร์ แต่เยื้องไปทางซ้ายเล็กน้อย อยู่สูงกว่า และสว่างน้อยกว่าดาวศุกร์หลายเท่า เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ดาวอังคารอยู่สูงประมาณ 30 องศา จากนั้นเคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ตกลับขอบฟ้าในเวลา 3 ทุ่ม

ดาวพฤหัสบดีอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต ขึ้นมาเหนือขอบฟ้าทิศตะวันออกตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่ง แต่เริ่มเห็นได้ราว 5 ทุ่ม เมื่อดาวพฤหัสบดีเคลื่อนสูงขึ้น เราจะเห็นดาวพฤหัสบดีเป็นดาวสว่างเด่นบนท้องฟ้าต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืด โดยดาวพฤหัสบดีจะอยู่สูงสุดเหนือศีรษะในเวลาประมาณ 04.45 น.

หลังจันทร์เพ็ญเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. สัปดาห์นี้เข้าสู่ข้างแรม ดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืดของทุกวัน วันที่ 12 ธ.ค. ดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวพฤหัสบดีที่ระยะ 5 องศา วันถัดไปผ่านใกล้ดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโตที่ระยะเดียวกัน พื้นที่ด้านสว่างของดวงจันทร์ลดลงเหลือครึ่งดวงในวันที่ 14 ธ.ค.

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ