ผลของกรรม
ไม่ว่าสมัยใด เรื่องหนึ่งที่มีคนสนใจมาก และก็มีคนเข้าใจคลาดเคลื่อนมาก ก็คือ เรื่องของกรรม นอกจากจะสงสัยกันว่า กรรม มี ผล ไหม?
ไม่ว่าสมัยใด เรื่องหนึ่งที่มีคนสนใจมาก และก็มีคนเข้าใจคลาดเคลื่อนมาก ก็คือ เรื่องของกรรม นอกจากจะสงสัยกันว่า กรรม มี ผล ไหม? ก็ยังสงสัยอีกว่า ทำดีแล้ว ทำไม ยังไม่ได้ดี ทำชั่วทำไม ยังได้ดี? นอกจากนั้นเรื่องหนึ่งที่สนใจกันมาก ก็คือ กรรมทำแล้ว แก้ไขได้ไหม? สำหรับเรื่องนี้ก็จะอยากแก้แต่เฉพาะกรรมชั่ว ไม่มีใครเลยอยากจะแก้กรรมดี เพราะผลของกรรมดีล้วนน่าปรารถนาทั้งนั้น ส่วนผลของกรรมชั่วไม่น่าปรารถนา เมื่อกระทำไปแล้ว ก็เกิดความร้อนตัว กลัวกรรมตามสนอง ยิ่งไปเจอหมอดูทัก ยิ่งกลัวใหญ่ เป็นต้น
การที่เราจะพูดกันไปเองเรื่องผลของกรรมนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะความจริงแล้ว แม้เรื่อง กรรมจะเป็นเรื่องตรงไปตรงมา ในแง่ที่ว่า บุญกุศล หรือ กรรมดีนั้น ย่อมให้ผลเป็นความสุข ให้ผลดี ส่วน บาปอุกศล หรือ กรรมชั่วนั้น ย่อมให้ผลเป็นความทุกข์ เป็นผลร้าย แต่เรื่องของการกระทำกรรมและการให้ผลของกรรมนั้น มีความซับซ้อน และแตกต่างกันในแต่ละบุคคลทั้งในการ
กระทำแต่ละครั้งก็ต่างกัน
ด้วยว่า จิตใจของผู้กระทำ ก็ต่างกัน วิธีการ อุปกรณ์ และผู้รับ หรือ ผู้ถูกกระทำ เป็นต้น ก็มีความแตกต่าง กรรมเมื่อก่อนทำ ก็มีการตระเตรียมต่างกัน ความคิดต่างกัน ทำแล้ว ก็ยังเก็บไปคิดไหม คิดอย่างไร สิ่งเหล่านั้น และอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ในเวลากระทำกรรม จิตใจของผู้นั้น มีลักษณะเด่น มีความเพียรพยายามมากไหม มีการใช้ปัญญามากไหม หรือ มีความพอใจ ความใส่ใจในการ
กระทำ เป็นตัวนำไหม เหล่านั้นล้วนมีผลต่อการให้ผลของกรรมให้มีความแตกต่างกัน นอกจากนั้น บุคคลยังทำกรรมมากมายหลายอย่างตลอดชีวิตหนึ่งๆ มีทั้งกรรมที่เล็กน้อย กรรมที่มีผลมาก เช่น การทำอนันตริยกรรม มีการฆ่าพ่อแม่ เป็นต้น และกรรมที่เป็นฌานเป็นสมาธิ เป็นการเจริญวิปัสสนา จนถึงขั้นบรรลุมรรคผลก็มี
การให้ผลของกรรมจึงมีความซับซ้อน พระพุทธได้ทรงแสดงไว้ในหลายๆ ที่ ถึงเรื่องราวของกรรม ถึงการให้ผลของกรรม และได้ทรงแสดงว่า เรื่องผลของกรรมนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่เป็น “อจินไตย” คือ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่วิสัยของบุคคลทั่วไป เช่น ปุถุชนจะรู้ได้อย่างถ่องแท้นั้นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ได้ อจินไตยมี 4 อย่าง คือ พุทธวิสัย (วิสัยของพระพุทธเจ้า) ฌานวิสัย (วิสัยของผู้ได้ฌาน) กัมมวิบาก (ผลของกรรม) และโลกจินดา (ความคิดเรื่องโลก) อจินไตย เป็นสิ่งที่ปุถุชนไม่ควรคิดผู้ที่คิดจะพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้าได้รับความลำบากโดยเปล่าประโยชน์
ในเรื่องนี้ คณะสหายธรรม โดย อ.ประณีต ก้องสมุทร ได้อธิบายไว้ดียิ่ง จึงขอนำมาดังนี้
กัมมวิบาก ผลของกรรม คือคนธรรมดาๆ ย่อมไม่อาจรู้ว่า ผลของกรรมที่ตนได้รับอยู่ในปัจจุบันนี้มาจากกรรมอะไร ทำไว้แต่เมื่อใด คิดไปเท่าไรก็คิดไม่ออก คิดมากไปจะเป็นบ้าไปเสียเปล่าๆ ผู้ที่รู้ผลของกรรมได้อย่างถ่องแท้ต้องเป็นผู้ที่ระลึกชาติก่อนๆ นับย้อนหลังไปได้โดยไม่จำกัดอย่างพระพุทธเจ้า จึงสามารถจะทราบได้ถูกต้องแท้จริงไม่ผิดพลาด ท่านที่ระลึกชาติได้จำกัด เช่น ระลึกได้ 500 ชาติ แต่กรรมที่ทำไว้ ทำไว้เมื่อชาติที่ 550 ผู้ที่ระลึกชาติได้ 500 ชาติ ก็ไม่สามารถระลึกได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถจะรู้กรรมและผลของกรรมได้ถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะพระองค์ทรงมีบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่ระลึกชาติย้อนหลังได้โดยไม่จำกัด มียถากัมมูปคญาณ ญาณที่เข้าถึงกรรมของสัตว์ตามความเป็นจริง พระสัพพัญญุตญาณ ญาณที่ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นไม่มี ทั้งยังมี พระอนาวรณญาณญาณที่ไม่มีอะไรมาปิดกั้น ที่คนอื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่มี เพราะฉะนั้นป่วยการคิดเรื่องผลของกรรมว่ามาจากกรรมไหน เมื่อใด เป็นต้น คิดมากไป อาจเป็นบ้า
ด้วยเหตุนี้ อจินไตยทั้ง 4 อย่างนี้ บางท่านอาจจะคิดว่าตนเองคิดแล้วรู้ได้ ซึ่งก็รู้ได้เพียงวิสัยของตนเท่านั้น พระอรหันต์ก็รู้เท่าวิสัยของพระอรหันต์ จะรู้เท่าความรู้ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นท่านจึงเตือนว่า สิ่งทั้ง 4 นี้ไม่ควรคิด คิดไปอาจเป็นบ้า ลำบากโดยเปล่าประโยชน์ ทั้งนี้เพราะท่านเหล่านั้นไม่ได้สั่งสมสติปัญญาบารมีความรู้มาเสมอด้วยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอบรมมาอย่างน้อยถึง 4 อสงไขยแสนกัปป์ทีเดียว
ดังที่ยกตัวอย่างไปแล้ว เรื่องของการให้ผลของกรรมนั้น ซับซ้อนยิ่ง ความเข้าใจของบุคคลหากไม่พยายามศึกษาหลักเกณฑ์ เรื่องของกรรม อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนได้โดยง่าย การรู้เรื่องเหล่านี้ จะรู้ได้ก็ด้วยการคิดพิจารณาอนุโลมตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนเท่านั้น แต่หากจะให้ละเอียดถี่ถ้วนในการให้ผลของกรรม ว่านี้กรรมอะไรหนอให้ผล อย่างละเอียดลออนั้น แม้ผู้ที่ระลึกชาติได้ ยังไม่สามารถรู้ได้ครบถ้วน ดังนั้นเมื่อไม่ครบถ้วนแล้วทำนายออกไป ย่อมผิดพลาดได้
ครั้งหน้า MQ จะได้นำตัวอย่างในเรื่องนี้จากพระสูตร ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนขึ้นในเรื่องนี้ มาพูดคุยกันต่อ…


