เจ้าฟ้าฉิมใหญ่ เจ้าจอมมารดาในพระเจ้ากรุงธนบุรี (2)
หลังการสิ้นชีพของมารดาเจ้าฟ้าเหม็นก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของยายสา (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพสุดาวดี)
หลังการสิ้นชีพของมารดาเจ้าฟ้าเหม็นก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของยายสา (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพสุดาวดี) และมีพระพี่เลี้ยงชื่อหม่อมบุญศรี (เชื้อพระวงศ์กรุงศรีอยุธยาเก่า)
ต่อมาอีก 3 ปี ก็กำพร้าบิดา เมื่อพระราชบิดาคือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถูก “เจ้าคุณตา” สำเร็จโทษ แต่ด้วยทรงอาลัยในเจ้าฟ้าเหม็นจึงทรงรอดพ้นจากการประหาร ดังปรากฏพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ความว่า
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังฯเสด็จลงมาเฝ้า กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆของเจ้าตากสิน จะขอรับพระราชทานเอาใส่เรือไปล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามต่อไปภายหน้า สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงพระอาลัยอยู่ในเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ พระราชนัดดา จึงดำรัสแก่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ขอชีวิตไว้ทั้งสิ้น”
ด้วยเหตุที่เจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ทรงเป็นหลานคนโตของเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก) พระราชทานนามใหม่เป็น เจ้าฟ้าอภัยธิเบศร์ คนทั่วไปเรียกว่า เจ้าฟ้าอภัยทศ แต่เนื่องจากพระนามพ้องกับเจ้าฟ้าอภัยทศ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ พ้องกับเจ้าฟ้าอภัย ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ซึ่งได้รับพระราชอาญาสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ในช่วงผลัดแผ่นดิน ทรงสดับรับสั่งว่า ไม่เป็นมงคล โปรดให้เปลี่ยนเป็นเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ต่อมาปี 2349 เป็นกรมขุนกษัตรานุชิต ครั้งทรงเจริญพระชันษา จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานวังถนนหน้าพระลาน ด้านตะวันตก ซึ่งเรียกว่า “วังท่าพระ”
ว่ากันว่า เจ้าจอมมารดาฉิมใหญ่ เป็นเจ้าจอมมารดาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสนิทเสน่หาและไว้วางพระราชหฤทัยมาก ทั้งเป็นธิดาของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่รับราชการสนองพระคุณในราชการสงครามกู้ชาติ กู้แผ่นดิน เคียงบ่าเคียงไหล่มากับพระองค์ตลอดมา เมื่อพระราชโอรสประสูติก็ได้รับพระราชทานพระเมตตาจากพระราชบิดาเป็นอย่างยิ่ง โดยได้แสดงพระราชประสงค์ที่จะให้พระราชโอรสพระองค์นี้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชวิจารณ์ว่า
“...พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ปรารภเรื่องสืบสันตติวงศ์ ดูเหมือนตั้งพระทัยจะให้กรมขุนอินทรพิทักษ์ลูกเธอองค์ที่ 1 ครองกรุงกัมพูชา ให้เจ้าทัศพงศ์ลูกเธอซึ่งภายหลังเป็นพระพงศ์นรินทร์ ซึ่งเป็นหลานเจ้านครครองเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนกรุงธนบุรีนั้นจะมอบราชสมบัติประทานเจ้าฟ้าสุพันธุวงศ์ ที่เรียกว่า เจ้าฟ้าเหม็น ด้วยเป็นพระราชนัดดาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก...”
ความเป็นลูกกำพร้าของเจ้าฟ้าเหม็น หรือเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต ทำให้สมเด็จพระอัยกา (ตา) ทรงมีพระเมตตา สงสาร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ชุบเลี้ยงใกล้ชิดพระองค์ ความใกล้ชิดระหว่างพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ กับเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตนั้น เห็นได้จากในคราวที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระประชวร ได้ทรงสร้างวัดสุทัศนเทพวรารามวรมหาวิหาร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัยมาประดิษฐานเป็นประธานในวัดสุทัศน์นั้น มีบันทึกไว้ว่า
“แต่ทรงพระอุตสาหะเพิ่มพระบารมี หวังที่หน่วงโพธิญาณจะโปรดสัตว์ ทำนุบำรุงพระศาสนา เสด็จพระดำเนินตามกระบวนแห่พระ หาทรงฉลองพระบาทไม่ จนถึงพลับพลาเสด็จขึ้นเซพลาด เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรารับทรงพระองค์ไว้...”
แม้จะทรงใกล้ชิดกับสมเด็จพระอัยกา (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) มากมายเพียงใด แต่ในพระทัยของเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตคงจะรำลึกอยู่เสมอว่าตนเป็นผู้สืบเชื้อสายจากพระมหากษัตริย์ผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว คงมีความหวังในพระทัยอยู่ลึกที่จะกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ขององค์สมเด็จพระราชบิดาให้กลับมามีอำนาจใหม่ ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระอัยกา เสด็จสวรรคตได้เพียง 3 วัน ในปี 2352 ก็ปรากฏข่าวว่า เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตคบคิดกับพระราชโอรส พระธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และข้าราชการบางคนเพื่อก่อการกบฏ ดังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดาร ตอนหนึ่งว่า
“...ณ วันอาทิตย์เดือน 1 ขึ้น 2 ค่ำ พระยาอนุชิตราชา (น้อย) จางวางพระตำรวจ (ที่ได้เป็นเจ้าพระยาอภัยภูธร ที่สมุหนายกเมื่อภายหลัง) ได้หนังสือทิ้งที่ใต้ต้นแจง ในลานชลาพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท กล่าวกันว่ากาคาบมาทิ้งไว้ ในหนังสือนั้นฟ้องว่าเจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต คุณหนูดำ และเจ้าจอมมารดาสำลีในสมเด็จพระอนุชาธิราชพระบัณฑูรน้อย ทั้งสามนี้ซึ่งเป็นโอรสและธิดาของพระเจ้ากรุงธนบุรี คบคิดกับข้าราชการอีกหลายคนจะก่อการขบถ...”


