posttoday

‘ยุทธศาสตร์’ ต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์

21 พฤศจิกายน 2557

ในยุคนี้องค์กรต่างๆ นำ “ยุทธศาสตร์” (Strategy) มาใช้ในการบริหารองค์กรกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ระดับชาติ และถูกนำมากล่าวถึงในการปฏิรูปประเทศที่กำลังดำเนินการอยู่

ในยุคนี้องค์กรต่างๆ นำ “ยุทธศาสตร์” (Strategy) มาใช้ในการบริหารองค์กรกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะองค์กรใหญ่ระดับชาติ และถูกนำมากล่าวถึงในการปฏิรูปประเทศที่กำลังดำเนินการอยู่

“ยุทธศาสตร์” เป็นแนวคิดในการบริหารงานของทหารซึ่งต้องการความสำเร็จของภารกิจตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ หากไม่สามารถปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์ก็จะเกิดความเสียหายถึงขนาด “สิ้นชาติ”

ด้วยเหตุนี้ กระบวนการกำหนดยุทธศาสตร์จึงต้องมีการวิเคราะห์สภาวะแวดล้อมทางยุทธศาสตร์และระเบียบวิธีการคิดที่ลึกซึ้ง ตลอดจนมีการทดสอบแนวคิด เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อนำยุทธศาสตร์ไปใช้จะได้ผล

หลักการพื้นฐานของยุทธศาสตร์ คือการสร้างความ “เหนือกว่า” (Superior) ในเวลาและตำบลที่ต้องการชัยชนะ ทั้งนี้เพื่อมิให้มีการใช้ทรัพยากร ที่หมายถึง คน เงิน งาน พัสดุอุปกรณ์ และเวลา มากเกินความจำเป็น ซึ่งทำให้ล่าช้าไม่ทันกาลและ “สูญเปล่า”

“ซุนวู” นักปราชญ์ด้านการเมืองการปกครองของจีน ได้ให้ความเห็นเชิงปรัชญาว่า การที่จะให้ได้ชัยชนะ ต้องสร้างผู้นำ ขวัญกำลังใจของประชาชน วิธีการบริหารงานหรือหลักนิยม (Doctrine) ลักษณะภูมิประเทศ และลักษณะสภาพอากาศ ให้เหนือกว่าข้าศึก

“ผู้นำ” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของยุทธศาสตร์ เพราะเป็นผู้สร้างปัจจัยที่เหลือให้เหนือกว่าข้าศึก โดยเฉพาะการ “เลือก” ลักษณะภูมิประเทศและลักษณะสภาพอากาศ ซึ่งระยะหลังรวมเรียกว่า “สภาวะแวดล้อม” ที่ได้เรามีความเชี่ยวชาญกว่าคู่ต่อสู้ อันเป็นเหตุให้มีโอกาสได้รับชัยชนะสูง

“ซุนวู” ได้ให้ลักษณะของผู้นำยุทธศาสตร์ว่า ต้องเป็นคนที่มี “ปัญญา สัจจะ กล้าหาญ เมตตา และเข้มงวด” โดย “ปัญญา” ในมิตินี้หมายถึง มีความรู้ ความชาญฉลาด ไหวพริบดี มีสติสัมปชัญญะที่มั่นคง

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคุณลักษณะของผู้นำทางทหารว่า “ความรู้ ความสามารถในการยุทธ มีไหวพริบ มีอัธยาศัยมั่นคง และอยู่ในความเที่ยงธรรม” ซึ่งมีนัยเหมือนกัน

ในด้านขวัญและกำลังใจของประชาชนนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้นำต้องสร้างขึ้น เพราะเป็นพลังที่ไม่มีตัวตน (Intangible Factors) ซึ่งจะสามารถเสริมหนุนให้ได้ชัยชนะตามต้องการ โดยต้องมีพื้นฐานมาจากความเชื่อถือศรัทธาในตัวผู้นำ และการสร้าง “ค่านิยม” ที่สอดคล้องกับภารกิจและลักษณะของการต่อสู้

ด้วยเหตุนี้ ผู้นำจึงต้องสร้าง “ค่านิยม” ที่เหมาะสมกับภารกิจ และมีการจูงใจให้ยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดพลังในการปฏิบัติภารกิจ ซึ่งเป็นที่มาของการกำหนด “ค่านิยมหลัก” (Core Values) ควบคู่กับความสามารถหลัก (Core Competencies) ในการทำแผนยุทธศาสตร์องค์กรสมัยใหม่

ในอดีตผู้นำจะเป็นคนกำหนดค่านิยมขององค์กรเอง แต่ในการบริหารงานยุคใหม่ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ธรรมชาติขององค์กรและเห็นพ้องต้องกันในค่านิยมที่กำหนดขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการยอมรับนำไปยึดถือปฏิบัติ และเป็นที่มาของคำว่า “ค่านิยมร่วม” (Shared Values)

ปัจจัยประการสุดท้ายที่ต้องสร้างให้เหนือกว่าตามที่ซุนวูแนะนำ คือ วิธีการบริหารงานหรือหลักนิยม

“หลักนิยม” หมายถึง การรวมความคิดที่หลากหลายไปสู่สิ่งที่หน่วยและผู้นำหน่วยเชื่อว่า เป็น “หนทางดีที่สุด” ในการปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์

โดย “หลักนิยม” ไม่ใช่คำสั่งที่ต้องปฏิบัติ ต้องมีการตีความ  และประยุกต์ใช้

สำหรับที่มาของหลักนิยม เกิดจากกระบวนการทางความคิดบนพื้นฐานของการสะสมประสบการณ์ ทั้งของตนเองและของผู้อื่น โดยนำบทเรียนในอดีตมาศึกษาวิจัยร่วมกับนโยบาย ทฤษฎีหรือตำราพิชัยสงคราม ภัยคุกคามหรือความท้าทาย สภาวะแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม

ผลผลิตของกระบวนการสร้างหลักนิยม คือ วิธีการทำงานตามเงื่อนไขหรือสมมติฐานที่กำหนด เพื่อนำไปปลูกฝังสั่งสอนให้สามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วนตามแนวคิดนั้น แล้วนำไปกำหนดการจัดหน่วย โครงสร้าง การฝึกและศึกษา การจัดสรรทรัพยากร และแผนงาน

หลังจากนั้นต้องจัดให้มีการฝึกซ้อมและนำผลการฝึกไปปรับปรุงหลักนิยมที่คิดไว้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้จริงและเกิดผลสัมฤทธิ์

Von Clausewitz นักยุทธศาสตร์ชาวปรัสเซียได้ให้คำแนะนำว่า การบริหารเชิงยุทธศาสตร์มีปัจจัยที่ควรคำนึง คือ “Fog Friction Chance” โดย Fog หมายถึง การสื่อสารที่ผิดพลาด Friction หมายถึง แรงเสียดทานที่เกิดจากลักษณะนิสัยและความไม่เห็นพ้องต้องกันของผู้เกี่ยวข้อง และ Chance หมายถึง จังหวะและเวลาที่เหมาะสมกับยุทธศาสตร์ที่จะใช้

จากแนวคิดและนิยามศัพท์ดังกล่าว สรุปได้ว่า “ยุทธศาสตร์” หมายถึง “ศาสตร์และศิลป์ในการพัฒนาและใช้ศักยภาพขององค์กรให้บรรลุวัตถุประสงค์” จึงต้องมีการพัฒนา “คน” และ “วิธีการทำงาน” ควบคู่กัน เพื่อเตรียมการไว้ใช้งานตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยมีจุดสำคัญ คือ การใช้ศิลปะในการสื่อสารนโยบายและให้คำแนะนำแนวทางการตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับจังหวะเวลาและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปให้กับหัวหน้าหน่วยรอง โดยเฉพาะที่อยู่ห่างไกล

ดังนั้น จึงต้องพัฒนาและเลือกใช้ “คน” ที่มีความรู้ ความสามารถ ค่านิยม ทัศนคติ และบุคลิกภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้นำในระดับต่างๆ เพื่อให้สามารถตัดสินใจดำเนินกลยุทธ์ตามหลักนิยมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้อย่างรวดเร็ว และประสานสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ จึงจะเอาชนะในการต่อสู้ได้

นอกจากนั้น จำเป็นต้องกำหนดค่านิยมที่เหมาะสมกับภารกิจและเป็นที่เชื่อถือของบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความเชื่อและกระบวนทัศน์ในการตัดสินใจปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างประสานสอดคล้องกัน ซึ่งจะช่วยลดแรงเสียดทานของผู้ปฏิบัติ โดยเฉพาะในขณะที่สถานการณ์ผลิกผัน

อย่างไรก็ดี การสร้างความเชื่อในค่านิยมที่กำหนดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก จึงมีคำแนะนำให้ใช้ศิลปะจูงใจของผู้นำและกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสถานการณ์และความจำเป็นที่ต้องมีการกำหนดค่านิยมนั้นๆ โดยผู้นำต้องเป็น “แบบอย่าง” (Role Model) ในการปฏิบัติตามค่านิยมเหล่านั้น

ดังนั้น เมื่อนำยุทธศาสตร์มาใช้ในการปฏิรูปประเทศ จำเป็นต้องมีการพัฒนาด้วยการใช้ศาสตร์ปฏิรูปวิธีการทำงาน และใช้ศิลป์ในการปฏิรูปคน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนค่านิยมของคนในสังคม จึงจะช่วยให้การปฏิรูปที่เกิดผลสัมฤทธิ์ได้โดยง่าย

มาถึงวันนี้ คสช.เดินมาถูกทางในการปฏิรูปด้วยการนำเสนอค่านิยม 12 ประการแล้ว แต่คงไม่ใช่เพียงแต่บรรจุค่านิยม 12 ประการในหลักสูตรการศึกษาเท่านั้น

จำเป็นต้องชักจูงให้ชนชั้นนำของสังคม (Elite) ได้แก่ คสช. ครม. สนช. สปช. และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ปฏิบัติตนตามค่านิยมที่ คสช.แนะนำให้ประชาชนปฏิบัติด้วย

เมื่อผู้นำเป็น “แบบอย่าง” แล้ว ประชาชนก็จะเข้าระเบียบตามที่ คสช.ปรารถนาได้ง่ายขึ้น

ข่าวล่าสุด

CardX มอบเงินบริจาคห้าแสนบาทแก่สภากาชาดไทยเพื่อเร่งฟื้นฟูเยียวยาและช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย