posttoday

การปฏิรูประบบรัฐสภา

19 พฤศจิกายน 2557

ระบบรัฐสภา หมายถึง ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีการแบ่งอำนาจเป็นฝ่ายบริหาร

ระบบรัฐสภา หมายถึง ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งมีการแบ่งอำนาจเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ โดยฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน ไม่เพียงเพื่อออกกฎหมายเท่านั้น หากยังเป็นผู้มอบอำนาจและความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายบริหาร โดยเป็นผู้กำหนดว่าใครจะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร และตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา สภาผู้แทนราษฎรจะลงคะแนนเสียงเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) คนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็มีหลายประเทศที่เป็นราชอาณาจักร ซึ่งพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขจะโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี หลังทรงทราบการถวายคำแนะนำจากหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ว่าบุคคลใดคือผู้ที่คาดว่าจะได้รับความไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรี 

ระบบรัฐสภาแตกต่างกับระบบประธานาธิบดีตรงที่ในระบบหลังนี้ ฝ่ายบริหารไม่ได้รับความชอบธรรมในการปกครองจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่ต้องรายงานและรับผิดต่อสภา โดยประธานาธิบดีอาจมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เป็นการแยกอำนาจค่อนข้างเด็ดขาดจากสภา

ส่วนระบบที่เลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงจะมีลักษณะคล้ายกับระบบประธานาธิบดี หากนำมาใช้กับราชอาณาจักรจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยทดลองใช้กันมาก่อน แต่ถ้าจะนำมาใช้ก็ต้องทำความเข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ซึ่งในระบบประธานาธิบดี ประมุขฝ่ายบริหารเป็นคนเดียวกันกับประมุขของประเทศ แต่ในราชอาณาจักร ประมุขของประเทศคือพระมหากษัตริย์ เคยมีการทดลองเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรงในการปกครองแบบสาธารณรัฐในกรณีของอิสราเอล แต่การบริหารไม่ราบรื่น เพราะนายกฯ ควบคุมสภาไม่ได้ อิสราเอลเลยกลับมาใช้ระบบรัฐสภาตามปกติ กล่าวได้ว่า การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง เป็นระบบที่แปลกและไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นระบบรัฐสภาในความหมายข้างต้น

ในกระแสการปฏิรูปครั้งนี้ น่าจะใช้ทางสายกลางคือระบบรัฐสภาที่เคยใช้กันมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงขอเสนอให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นจุดตั้งต้น โดยอาจแก้ไขให้เหมาะสม กล่าวคือ

1) การมีสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

2) การเลือกตั้ง สส.ในระบบสัดส่วนที่มีสมาชิกแบบผสม  ประกอบด้วย สส.แบบบัญชีรายชื่อ 200 คน มาจากการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อเปิด (Open List) โดยแบ่งเขตเลือกตั้งเป็น 10 เขต
ที่เน้นความเป็นภูมิรัฐศาสตร์และวัฒนธรรมเดียวกันมากกว่าการมีประชากรเท่าๆ กัน เขตที่เล็กที่สุด (จังหวัดชายแดนภาคใต้) จึงมี สส.ตามสัดส่วนประชากรน้อย เช่น 11 คน ส่วนเขตที่ใหญ่ที่สุด (กทม.และปริมณฑล) มี สส. 26 คน เป็นต้น และ สส.แบบแบ่งเขต 300 คน (1 เขต 1 คน) (อาจใช้ระบบคะแนนเสียงเผื่อเลือก หรือ Alternative Vote เพื่อให้ผู้ชนะได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งคล้ายระบบออสเตรเลีย) ประเด็นพึงพิจารณาในแง่คุณสมบัติของผู้สมัคร คือการเป็น
ผู้สมัครอิสระโดยไม่สังกัดพรรคการเมืองได้หรือไม่

3) การกำหนดให้ สว.เกือบทั้งหมด เช่น 180 คน มาจากการเลือกตั้ง ที่เหลือ เช่น 20 คน มาจากตัวแทนของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มวิชาชีพบางกลุ่ม ซึ่งโดยปกติจะขาดโอกาสการมีตัวแทน เช่น ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ องค์กรชุมชน ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร ฯลฯ การเลือกตั้ง สว.อาจใช้ระบบคะแนนเสียงเดียวโอนย้ายไม่ได้ จาก 30 เขต ที่เป็นกลุ่มจังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพฯ) แต่ละเขตมีประชากรใกล้เคียงกันและมี สว.เขตละ 6 คน

4) ในความขัดแย้งที่ผ่านมา มีการวิจารณ์ว่านักการเมืองมาเป็น สส. เพราะหวังตำแหน่งบริหาร ครั้นจะให้ สส.ที่ไปเป็นรัฐมนตรีต้องสละเก้าอี้ สส.ภายใน 30 วัน เหมือนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ก็วิจารณ์ว่าจะทำให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเหนือรัฐมนตรีมากเกินไป ถ้าขัดใจและถูกปลดออก รัฐมนตรีคนนั้นก็จะเคว้งไม่มีที่ลง ต่อมารัฐธรรมนูญปี 2550 เลยอนุญาตให้รัฐมนตรีควบตำแหน่ง สส.ได้ ซึ่งน่าจะขัดกันในเชิงหน้าที่ จึงขอเสนอว่า ถ้า สส.ไปเป็นรัฐมนตรีต้องสละเก้าอี้ สส.ภายในระยะเวลาที่ยาวขึ้น เช่น 180 วัน เพื่อให้มีเวลาไตร่ตรองว่าจะเลือกตำแหน่งใด ถ้าเลือกเป็นรัฐมนตรีและ
ถูกปลดหลัง 180 วัน ก็น่าจะคุ้มหรือไม่

5) ในความขัดแย้งที่ผ่านมา มีการเสนอวาทกรรมต่อต้าน “เผด็จการโดยรัฐสภา” ว่าเป็นเสียงข้างมากลากไป เสียงข้างน้อยคัดค้านด้วยเหตุผลนานาประการแล้ว พอลงมติผ่านร่างกฎหมาย ก็ว่าตามมติของพรรครัฐบาลทุกที จริงอยู่ วุฒิสภาอาจยับยั้งร่างพระราชบัญญัติได้ในสองกรณี คือ กรณีส่งร่างพระราชบัญญัติที่ไม่เห็นชอบคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร หรือกรณีแก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎร  ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิม หรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรก็ดำเนินการตราเป็นกฎหมายได้

ข้อเสนอเพื่อให้รับฟังเสียงข้างน้อยในสภาก็คือ การหันมารับฟังเสียงข้างมากของประชาชนดังนี้ กรณีมีการยับยั้งยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ผู้นำฝ่ายค้านโดยความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก สส.ที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 และจาก สว.ที่มีอยู่ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 สามารถเสนอให้คณะรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัติเดิม หรือร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาแล้ว ไปขอความเห็นชอบจากประชาชนโดยการลงประชามติ และให้ถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ อย่างไรก็ดี เพื่อมิให้มีการใช้การยับยั้งโดยเสียงข้างน้อยเกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไป อาจบัญญัติให้ใช้สิทธิยับยั้งนี้ได้
ไม่เกินหนึ่งครั้งต่อสมัยประชุมสภา

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา