posttoday

สถานพักแรม ไม่ใช่โรงแรมหรือรีสอร์ท

13 พฤศจิกายน 2557

โดย...ม.ล.สุรวุฒิ ทองแถม

โดย...ม.ล.สุรวุฒิ ทองแถม

ตามตัวเลขสถิติเท่าที่พอจะหาได้ จากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในบ้านเรา จำนวนสถานพักแรมที่ให้ที่พักทั่วประเทศไทย ณ ปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 13,822 แห่ง ด้วยจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 576,953 ห้อง โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทโรงแรม/รีสอร์ท 9,340 แห่ง ซึ่งมีห้องพักรวมทั้งหมด 475,832 ห้อง

ส่วนที่เหลือนั้นคือ สถานพักแรมนะครับ ไม่ใช่โรงแรมหรือรีสอร์ทแต่อย่างใดทั้งสิ้น สถานพักแรมที่ว่านี้ประกอบไปด้วย เกสต์เฮาส์ บังกะโล เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ แพลอยน้ำ รวมถึงที่พักประเภทโฮมสเตย์ และบ้านพักในอุทยานแห่งชาติทั้งหลาย ซึ่งหากคิดเป็นสัดส่วนตัวเลข จะเห็นได้ว่าสถานที่พักแรมมีปะปนอยู่ 4,482 แห่ง หรือ 32% และมีห้องพักอยู่ประมาณหนึ่งแสนห้องพักเศษ คิดเป็น 17% ของจำนวนห้องพักรวมทั้งประเทศ

หากจะถามจากประสบการณ์ของผู้ประกอบการในธุรกิจโรงแรมแล้ว ความน่าจะเป็นของตัวเลขและจำนวนที่แท้จริงของสถานพักแรม/ห้องพักที่เข้ามาดำเนินธุรกิจแบบโรงแรมหรือรีสอร์ท คือขายห้องพักแบบรายวันนั้น น่าจะมีมากกว่านี้อย่างน้อยสองหรือสามเท่าตัว โดยเฉพาะในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต สมุย กระบี่ เป็นต้น

จริงๆ แล้วในความเห็นของผมนั้น การมีห้องพักหรือสถานที่พักแรมในบ้านเราให้มากขึ้นนั้น ถือเป็นเรื่องดีครับ เพราะจะมีการสร้างงานให้เกิดขึ้นในชุมชน โดยเฉพาะในภาคชนบท เป็นการสร้างทักษะในการทำงานในภาคบริการแก่แรงงานหลากหลายประเภทและอายุ เป็นการช่วยกันทำโฆษณาประชาสัมพันธ์พื้นที่ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกแก่ภาครัฐในการขยายแหล่งท่องเที่ยวพร้อมสถานที่พักในประเทศให้มีมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างรายได้เสริมสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็งมีเม็ดเงินหมุนเวียนทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ชุมชน หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดต่างๆ อีกทางหนึ่ง ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจภาคบริการนี้หากทำด้วยคุณภาพมีมาตรฐานนั้นเป็นเรื่องที่ดีครับ

ในปัจจุบันนี้โรงแรมและรีสอร์ทในประเทศไทย ที่ได้รับใบอนุญาตให้สามารถดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง นอกเหนือจากที่จะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐ สมาคมโรงแรม องค์กรต่างๆ ในภาคท่องเที่ยวที่คอยกำกับดูแลแล้ว โรงแรมรีสอร์ทเหล่านี้ยังจะต้องปฏิบัติดำเนินการในเรื่องความสะดวก ความปลอดภัยตามมาตรฐานและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของต่างประเทศผ่านทางบริษัทนำเที่ยวประเภท offline ขนาดใหญ่ ที่เป็นพันธมิตรธุรกิจโดยเฉพาะ จากนานาอารยประเทศในต่างทวีป อาทิ ยุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา รวมถึงหลายประเทศในเอเชียด้วย มิฉะนั้นจะถูกปฏิเสธการทำงานร่วมกัน ทั้งในด้านการตลาดและการขายครับ ผมกำลังหมายความถึงว่า โรงแรมเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยมาตรฐานสองชั้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

แต่ด้วยความเหมือนที่แตกต่างกันมาก ระหว่างสถานพักแรมกับโรงแรม/รีสอร์ท เป็นประเด็นที่ผมค่อนข้างเป็นกังวล หากเราจะปล่อยให้สภาพการแข่งขันของธุรกิจเป็นไปในลักษณะปะปนหรือมั่วๆ แบบนี้ต่อไปครับ

สิ่งเสียหายที่จะเกิดขึ้นมี อาทิ ภาพรวมและภาพลักษณ์ของธุรกิจโรงแรมไทยอาจจะขาดมาตรฐานที่สากลยอมรับ ความปลอดภัยของผู้เข้าพักหากมีอุบัติภัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ความสะอาดของอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ทั้งในห้องพักและส่วนบริการอื่นๆ ภายในสถานที่ สภาวะสุขอนามัยของแขกผู้มาพัก ที่มารับบริการอาหารและเครื่องดื่ม

รวมไปถึงการแข่งขันการขายห้องพักผ่านทางช่องทาง online ที่ส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักนิยมใช้ราคาเป็นตัวเรียกร้องความสนใจ โดยมักจะไม่คำนึงว่าเป็นห้องพักของสถานที่พักแรมหรือโรงแรมรีสอร์ท รวมทั้งมีมาตรฐานสิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัยดีเพียงพอหรือไม่ เป็นต้น

ผมคิดว่า ในขณะที่ตัวเลขของเศรษฐกิจบ้านเรากำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่อาจจะขยายตัวได้มากนัก เมือเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนทั้งในปีนี้และปีหน้า รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขาเข้าอาจจะลดลงกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา เราน่าจะใช้ช่วงเวลานาทีทองนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการสำรวจตัวเลขที่แท้จริงของจำนวนสถานประกอบการเหล่านี้ มีการพัฒนาคุณภาพด้วยการให้ความรู้และแหล่งเงินทุนแก่ผู้ประกอบการสถานพักแรม จัดทำระเบียบกฎเกณฑ์ มาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยในห้องพักและส่วนบริการอื่นๆ

รวมถึงการแยกแยะสถานประกอบการแต่ละประเภท เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาจดทะเบียน ให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจในประเภทของตนเองอย่างถูกต้อง รวมทั้งมีการดำเนินงานให้ข้อมูลของผู้มาพักแก่หน่วยงานของภาครัฐอย่างตรงต่อเวลา รวมถึงการเสียภาษีธุรกิจต่างๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมายด้วยครับ

ข่าวล่าสุด

นาวิกโยธิน บุกยึดคืนพื้นที่บ้านสามหลัง จ.ตราด ปักธงไทยสำเร็จ