posttoday

อุตสาหกรรมเหล็กกับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย

11 พฤศจิกายน 2557

ผมหายหน้าไป 2 อาทิตย์เพื่อไปเยี่ยมชมโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของบริษัท สหวิริยา สตีล อินดัสตรี ของไทยที่เมือง Teesside ประเทศอังกฤษ ได้เห็นการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมหนักของบริษัทไทยในต่างแดนที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังกับท่านผู้อ่าน

ผมหายหน้าไป 2 อาทิตย์เพื่อไปเยี่ยมชมโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของบริษัท สหวิริยา สตีล อินดัสตรี ของไทยที่เมือง Teesside ประเทศอังกฤษ ได้เห็นการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมหนักของบริษัทไทยในต่างแดนที่น่าสนใจ จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังกับท่านผู้อ่าน

การที่บริษัทไทยแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีรัฐบาลหนุนหลังสามารถไปประกอบธุรกิจโรงงานถลุงเหล็ก (Blast Furnace) และโรงงานผลิตเหล็กกล้า (Steel Making Plant) ในประเทศที่เจริญแล้ว มีมาตรฐานในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมสูง ค่าแรงงานสูงอย่างประเทศอังกฤษนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ธุรกิจภาคเอกชนของไทยมีความสามารถที่จะบริหารธุรกิจข้ามชาติ และมีวิสัยทัศน์ที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพในการแข่งขันไม่ด้อยไปกว่าธุรกิจข้ามชาติของบริษัทต่างชาติ ทั้งๆ ที่ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในกระบวนการผลิตและต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากมายมหาศาล

ก่อนที่จะเล่าเรื่องโรงงานถลุงเหล็ก และโรงงานผลิตเหล็กกล้าของไทยในประเทศอังกฤษให้ท่านผู้อ่านฟัง ก็ขอเล่าเรื่องภาวะของอุตสาหกรรมเหล็กและความสำคัญของอุตสาหกรรมที่มีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ทราบก่อน เพื่อให้ท่านได้ทราบว่า ประเทศไทยจะได้ผลประโยชน์อะไรจากการลงทุนของนักธุรกิจไทยในอุตสาหกรรมนี้ในต่างประเทศ และทำไมผู้ประกอบการไทยจึงต้องไปลงทุนทำธุรกิจนี้ในต่างประเทศ

อุตสาหกรรมเหล็ก (Iron) และเหล็กกล้า (Steel) นั้น ถือว่าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นจำนวนมาก เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ บรรจุภัณฑ์ เครื่องจักรกล และอุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ได้สร้างความเจริญเติบโตให้เศรษฐกิจไทยมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และยิ่งในอนาคตเมื่อมีการดำเนินโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ จะยิ่งผลักดันให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ในปัจจุบันประเทศไทยมีความต้องการใช้เหล็กปีละประมาณ 17.6 ล้านตัน แต่สามารถผลิตเหล็กได้เองภายในประเทศเพียงประมาณ 6.8 ล้านตันเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ

สาเหตุที่ไทยต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กจากต่างประเทศถึงร้อยละ 62 ของความต้องการภายในประเทศ (รวมถึงการส่งออกปีละประมาณ 1 ล้านตัน) นั้น เพราะประเทศไทยไม่สามารถผลิตเหล็กดิบ (Pig Iron) เพื่อนำมาผลิตเหล็กกล้า (Steel) ได้เอง เนื่องจากไม่มีโรงงานถลุงเหล็กในประเทศ จึงต้องนำเหล็กกล้าเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกชั้นหนึ่ง ถึงจะมีการนำเศษเหล็กมาหลอมเพื่อผลิตเหล็กกล้าบ้าง แต่เป็นโรงงานขนาดเล็กคุณภาพไม่ได้มาตรฐานที่จะใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เหล็กกล้าที่มีคุณภาพสูง ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อุตสาหกรรมเหล็กของไทยยังไม่มีการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งประกอบด้วย การผลิตเหล็กต้นน้ำ ได้แก่ การนำสินแร่เหล็ก (Iron Ore) มาถลุงให้เป็นเหล็กดิบ (Pig Iron) การผลิตเหล็กกลางน้ำคือ การนำเหล็กดิบมาผ่านกระบวนการแปรรูปให้เป็นเหล็กกล้า (Steel) และการผลิตเหล็กปลายน้ำ ซึ่งได้แก่การนำเหล็กกล้าไปแปรรูปให้เป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์เหล็กแผ่น เหล็กเส้น หรือ เหล็กข้ออ้อยที่เรารู้จักกันดี

ตรงนี้คือคำตอบสำหรับคำถามที่ว่าประเทศไทยจะได้อะไรจากการที่เอกชนไทยไปตั้งโรงงานถลุงเหล็กในต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เหล็กในไทยต้องรับความเสี่ยงด้านราคาและการจัดหาเหล็กมาใช้ เมื่อความต้องการเหล็กกล้าในตลาดโลกเพิ่มขึ้นเพราะผู้ส่งออกในต่างประเทศมักจะให้ความสำคัญต่อผู้นำเข้ารายใหญ่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้เกิดการขาดแคลนเหล็กกล้าในประเทศไทย ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต้องใช้เวลาในการรอการจัดส่งเหล็กนานถึง 34 เดือน ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อการวางแผนการผลิต ซึ่งโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของ SSI UK แห่งนี้ แม้จะตั้งอยู่ในต่างประเทศ แต่มีเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนไทย อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของคนไทย ซึ่งมีธุรกิจเหล็กกลางน้ำและปลายน้ำอยู่ในประเทศไทย จึงเชื่อมั่นได้ว่า ในกรณีที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ความต้องการใช้เหล็กกล้าเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ของไทยแทบทุกอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์จากการมีเหล็กกล้าจากโรงงานแห่งนี้ ใช้ในการผลิตเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมในประเทศในระยะยาว

นอกจากนั้น การมีโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของตนเอง ยังทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับเทคโนโลยีและ KnowHow ในการถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้าที่ทันสมัยจากโรงงานในประเทศอังกฤษ เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีที่สถานการณ์เอื้ออำนวยให้มีการตั้งโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าในประเทศในอนาคต โดยไม่ต้องหวังพึ่งนักลงทุนจากต่างประเทศฝ่ายเดียว เหมือนที่เป็นอยู่ในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในปัจจุบัน

ก็มาถึงคำตอบที่ 2 ว่าทำไมผู้ประกอบการไทยถึงต้องไปประกอบธุรกิจโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าในสหราชอาณาจักร ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าต้นทุนในการผลิตจะสูงกว่าการผลิตในประเทศไทย

ความจริงผู้ประกอบการไทยได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องมีโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของตนเองมานานแล้ว โดยได้มีการลงทุนเพื่อดำเนินโครงการนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว ทั้งการเตรียมการด้านสถานที่ การจัดสร้างท่าเรือน้ำลึก ซึ่งสามารถรองรับให้เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ ระวางขับน้ำขนาด 1 แสนตัน เทียบท่าได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถตั้งโรงงานถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้าได้ เพราะปัญหาความขัดแย้งเรื่องผลกระทบที่อาจจะมีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นที่รัฐบาลไทยควรเข้ามามีบทบาท สร้างความเชื่อมั่นให้กับชุมชนในท้องถิ่นว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมหนักนั้น จะมีผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่นอย่างไร และอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและสุขภาพของประชาชนมากน้อยเพียงใด ลำพังผู้ประกอบการเองคงไม่สามารถยุติความขัดแย้งกับผู้ที่คัดค้านการลงทุนในโครงการประเภทนี้ได้ เนื่องจากเป็นคู่กรณีกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องหาแหล่งลงทุนใหม่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน กับผู้ประกอบการในต่างประเทศที่สามารถประกอบธุรกิจได้ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจเหล็กต้นน้ำ กลางน้ำจนถึงปลายน้ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าและกระบวนการผลิตมีเสถียรภาพสูงกว่า

โรงงานผลิตเหล็กของ SSI UK ที่ Teesside ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษนั้น มีกำลังการผลิตเหล็กดิบได้ปีละประมาณ 4.2 ล้านตัน สามารถผลิตเหล็กกล้าได้ปีละประมาณ 3.9 ล้านตัน จัดว่าเป็นโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักรและอันดับ 2 ในทวีปยุโรป นอกจากนั้นยังมีท่าเรือน้ำลึกของตนเอง เพื่อการขนส่งวัตถุดิบ เช่น สินแร่เหล็ก ถ่านหิน และเหล็กกล้า ซึ่งหลอมเป็นแท่งแล้วอยู่ในบริเวณเดียวกัน สามารถรับวัตถุดิบได้ทั้งจากสหรัฐ อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ รัสเซีย สวีเดน และตุรกี เป็นต้น และเนื่องจากเหล็กกล้าที่ผลิตจากโรงงานนี้ เป็นเหล็กที่มีคุณภาพดี จึงสามารถส่งไปจำหน่ายได้ทั้งในยุโรป อเมริกา และแม้แต่ประเทศรัสเซีย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องจัดส่งเหล็กกล้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งมาขายให้บริษัทแม่ในประเทศไทยก่อนเป็นลำดับแรก

ผมไปดูการดำเนินงานของโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของโครงการนี้แล้ว นึกเสียดายว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในแง่การลดความเสี่ยงของการจัดหาเหล็กกล้ามาใช้ในยามจำเป็น และได้รับ Technology และ KnowHow ในการหลอมเหล็กและผลิตเหล็กกล้าตามที่ได้พูดมาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่า การลงทุนในต่างประเทศทำให้ไทยสูญเสียโอกาสในการว่าจ้างแรงงานไทยกว่า 2,000 คน และรายได้ที่จะเกิดขึ้นในท้องถิ่น รวมทั้งภาษีอากรที่รัฐพึงได้หากมีการประกอบธุรกิจนี้ในประเทศไทย แต่ก็หวังว่าวันหนึ่งเมื่อผู้ประกอบการและผู้คัดค้านสามารถทำความเข้าใจกันได้ โดยรัฐบาลเป็นผู้ประสาน ประเทศไทยก็อาจมีโรงงานถลุงเหล็กของตนเอง เพื่อเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต

เก็บไว้สัปดาห์หน้าจะเล่าเรื่องโรงงานถลุงเหล็กและโรงงานผลิตเหล็กกล้าของไทยในอังกฤษให้ฟังต่อครับ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68