มหาโจร
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องของ “โจร” นั้น ใครๆ ก็รู้จัก ทั่วๆ ไปก็คือ ผู้ที่ตีชิงวิ่งราว คดโกง ปล้นฆ่า ใครจะคิดได้ว่าแม้ผู้ที่ไม่ได้กระทำการปล้นฆ่าโดยตรงก็อาจเป็นมหาโจรได้
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เรื่องของ “โจร” นั้น ใครๆ ก็รู้จัก ทั่วๆ ไปก็คือ ผู้ที่ตีชิงวิ่งราว คดโกง ปล้นฆ่า ใครจะคิดได้ว่าแม้ผู้ที่ไม่ได้กระทำการปล้นฆ่าโดยตรงก็อาจเป็นมหาโจรได้
ในอรรถกถา “อัคคิภารทวาชสูตร” ได้อธิบายเรื่องของมหาโจร 5 ไว้ในพระสูตรนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า “วสลสูตร” เป็นพระสูตรเกี่ยวกับพราหมณ์ผู้บูชาไฟ พราหมณ์อัคคิกภารทวาชเป็นผู้มีอุปนิสัยที่จะได้ฟังธรรมและบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงทรงเสด็จไปโปรด เมื่อพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ด่าว่า “คนถ่อย” เพราะพราหมณ์มีความเชื่อว่า การเห็นสมณะในศาสนาอื่นเข้ามาสู่เรือนของเขา ในเวลาที่เขาเชื่อว่าเป็นเวลาที่มหาพรหมกำลังบริโภคเครื่องเซ่นไหว้ของเขาไม่เป็นมงคล พราหมณ์ได้เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “คนถ่อย” แต่พระผู้มีพระภาคได้ตรวจดูเห็นอุปนิสัยของพราหมณ์ จึงตรัสด้วยพระพักตร์อันผ่องใสและพระสุระเสียงที่ไพเราะประกอบด้วยจิตอนุเคราะห์ว่า “ท่านรู้จักคนถ่อยหรือ?” พราหมณ์จึงได้คิดและยอมรับฟังพระธรรมเทศนา จะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสามารถข่มความโกรธของพราหมณ์ได้ด้วยความไม่โกรธ คนที่โกรธอยู่นั้นย่อมกล่าวคำด่า ย่อมลบหลู่คุณของคนทั้งหลาย และมีการปกปิดโทษที่มีอยู่ในตน ผู้ที่ประกอบตนอยู่ในบาปอกุศล มีความเบียดเบียน เป็นต้น เมื่อไม่เห็นโทษของความชั่ว ย่อมถือมั่นในความชั่วเหล่านั้น จึงเป็นธรรมทำให้เป็นคนถ่อย
นอกจากเรื่องของคนถ่อยแล้วในอรรถกถาได้มีคำอธิบายถึงเรื่องของ “มหาโจร” อีกด้วยว่า “โจร” ทั่วๆ ไป คือ ผู้ร้ายที่ทำการปล้นสดมภ์ ปล้นทรัพย์ของผู้อื่น เป็นต้น เรียกว่า “โจร” อย่างไรก็ตามแม้ผู้ที่เป็นบรรพชิต ปล้นปัจจัย เป็นต้น ก็เรียกว่า “โจร” ในพระศาสนา สมดังที่ทรงตรัสเกี่ยวกับ “มหาโจร” ว่ามีมหาโจร 5 ปรากฏอยู่ในโลก มหาโจร 5 คือ
1) มหาโจรบางคนในโลกนี้ คิดอย่างนี้ว่า ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คน แวดล้อมแล้ว จักเที่ยวไปในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ให้ฆ่า ตัดเอง ให้ตัด จี้เอง ให้จี้ โดยสมัยอื่น เขามีบริวาร 100 คน หรือ 1,000 คน แวดล้อมแล้ว เที่ยวไปอยู่ในคาม นิคม และราชธานี ฆ่าเอง ฯลฯ ให้จี้ ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชั่วบางรูปในศาสนานี้ ก็เหมือนอย่างนั้นแล คิดอย่างนี้ว่า ชื่อในกาลไหนหนอ เราผู้อันบริวาร 100 ฯลฯ แวดล้อมแล้ว จักไปสู่ที่จาริกในคาม นิคม และราชธานี ผู้อันคฤหัสถ์ทั้งหลายและบรรพชิต ทั้งหลายสักการะแล้ว เคารพแล้ว นับถือแล้ว บูชาแล้ว ยำเกรงแล้ว ได้จีวร ฯลฯ บริขาร โดยสมัยอื่นอีก เขาอันบริวาร 100 ฯลฯ เที่ยวไปสู่คาม นิคม ราชธานีสักการะแล้ว ฯลฯ ได้จีวร ฯลฯ บริขาร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 1 มีอยู่ปรากฏอยู่ในโลก
2) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูป ในศาสนานี้ เรียนธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมเผาตนเอง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้ มหาโจรที่ 2 ฯลฯ ในโลก
3) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ภิกษุชั่วบางรูป ในศาสนานี้ กำจัดพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์ ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 3 ฯลฯ ในโลก
4) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีข้ออื่นอีก ครุภัณฑ์ ครุบริขาร ของสงฆ์ คือ อาราม อารามวัตถุ วิหาร วิหารวัตถุ เตียง ตั่ง ฟูก หมอน หม้อโลหะ อ่างโลหะ ขวดโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สิ่ว เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง ดินเหนียว เครื่องไม้ เครื่องดินเหนียว ภิกษุชั่วย่อมสงเคราะห์ ย่อมช่วยเหลือคฤหัสถ์ด้วยครุภัณฑ์ ครุบริขารเหล่านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มหาโจรที่ 4 ฯลฯ ในโลก
5) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตนไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์
อรรถกถาอธิบายไว้ว่า ในโจร 5 จำพวกนั้น โจรทางโลกย่อมขโมยวัตถุสิ่งของ มีทรัพย์และธัญชาติ เป็นต้น เฉพาะทางโลกเท่านั้น ในบรรดาโจรที่กล่าวแล้วในศาสนา
โจรที่ 1 ย่อมขโมย ปัจจัย มีจีวร เป็นต้น เท่านั้น
โจรที่ 2 ย่อมขโมยปริยัติธรรม
โจรที่ 3 ย่อมขโมยพรหมจรรย์ของคนอื่น
โจรที่ 4 ย่อมขโมยครุภัณฑ์อันเป็นของสงฆ์
โจรที่ 5 ย่อมขโมยทั้งคุณทรัพย์ที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ ได้แก่ ฌาน สมาธิ สมาบัติ มรรค และผล ทั้งปัจจัย มีจีวร เป็นต้น อันเป็นโลกียะ
ในโจร 5 จำพวกนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นโจรในโลกพร้อมทั้งพรหมโลก นั้นทรงหมายถึงมหาโจรที่ 5 นี้ เพราะมหาโจรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นยอดมหาโจร เพราะขโมยโลกิยทรัพย์และโลกุตรทรัพย์อย่างนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดอวดอุตริมนุสธรรมที่ตนไม่มี ไม่เป็นจริง ภิกษุนี้เป็นยอดมหาโจรในโลกพร้อมทั้งเทวโลก พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์


