posttoday

การกำหนดราคายางพาราไทย

04 พฤศจิกายน 2557

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ในปี 2556 มีพื้นที่กรีดยาง 15.1 ล้านไร่ ให้ผลผลิตคิดเป็น 34% ของปริมาณการผลิตของโลก

ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราอันดับ 1 ของโลก ในปี 2556 มีพื้นที่กรีดยาง 15.1 ล้านไร่ ให้ผลผลิตคิดเป็น 34% ของปริมาณการผลิตของโลก

นอกจากนี้ ยางพารายังเป็นสินค้าเกษตรสำคัญของภาคใต้และเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้นๆ ของประเทศ ในปี 2556 มีปริมาณการส่งออก 4.2 ล้านตัน สามารถสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก ด้วยมูลค่าการส่งออกประมาณ 3.2 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายางพาราไทยจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดในตลาดโลก แต่ไทยไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคาราคาได้ ต้องอยู่ในฐานะผู้ยอมรับราคา (Price Taker) ที่ถูกกำหนดจากตลาดโลก

ดังนั้น ราคายางที่เปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็วทำให้ผู้ประกอบการและชาวสวนยางต้องรับความเสี่ยงอย่างช่วยไม่ได้

ผลิตภัณฑ์ยางแปรรูปที่มีความสำคัญมาก คือ ยางแท่งและยางรมควันชั้น 3 โดยยางแท่งเป็นสิ้นค้าส่งออกของไทยที่มีมูลค่าสูงที่สุดในกลุ่มยางพารา ขณะที่ยางแผ่นรมควันชั้น 3 เป็นสินค้าที่ไทยผลิตและส่งออกได้แห่งเดียวของโลก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ายางพาราไทยจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดในตลาดโลก แต่ไทยไม่สามารถเป็นผู้กำหนดราคายางที่ส่งออกได้ ด้วยสาเหตุดังนี้

ประการแรก โครงสร้างตลาดยางพาราโลกเป็นแบบผู้ซื้อน้อยราย ผู้ซื้อหรือผู้บริโภคหลักมีเพียงไม่กี่รายซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตล้อยางชั้นนำของโลกที่มักตั้งฐานการผลิตที่จีนและสหรัฐ

ขณะที่ผู้ผลิตและส่งออกมีมากทั้งรายใหญ่และรายย่อยในแต่ละประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งปริมาณการผลิตรวมของทั้งสามประเทศ คิดเป็นกว่าร้อยละ 60 ของผลผลิตยางพาราโลก

ดังนั้น ตลาดจึงเป็นของผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีอิทธิพลต่อการกำหนดราคายางในตลาดโลกเป็นสำคัญ โดยการซื้อขายยางพาราจะเป็นการกำหนดราคารับซื้อ ไม่ใช่เป็นการกำหนดราคาขายจากผู้ผลิตเหมือนสินค้าอื่นๆ ทั่วไป

ประการที่สอง ยางพาราไทยเป็นสินค้าที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ผลผลิตยางกว่าร้อยละ 80 ถูกส่งออกไปต่างประเทศซึ่งอยู่ในรูปวัตถุดิบขั้นต้นประมาณร้อยละ 10 ใช้ในประเทศในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยางยานพาหนะ ถุงมือยาง ยางยืด ยางรัดของ เป็นต้น และส่วนที่เหลือเก็บเป็นสต๊อกไว้ ทำให้ไทยต้องยอมรับราคาที่ผู้นำเข้าจากตลาดโลกกำหนดมาให้ ซึ่งจะทำให้ได้ราคาชี้นำในการรับซื้อต่อมายังห่วงโซ่อุปทานต่อไป ได้แก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม พ่อค้าในเมือง พ่อค้าท้องถิ่น และเกษตรกร

ประการสุดท้าย ผู้ประกอบการไทยใช้ราคายางในตลาดซื้อขายล่วงหน้าต่างประเทศเป็นราคาอ้างอิงในการซื้อขายยางในตลาดส่งมอบจริง

ตลาดล่วงหน้าต่างประเทศที่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญในการพิจารณาความเคลื่อนไหวของราคา ได้แก่ ตลาดล่วงหน้าโตเกียว หรือ TOCOM (Tokyo Commodity Exchange) ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์สิงคโปร์ หรือ SGX (Singapore Exchange) และตลาดล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ หรือ SHFE (Shanghai Futures Exchange) ซึ่งแต่ละตลาดมีบทบาทสำคัญมากในการเป็นราคาชี้นำ

แนวโน้มการเคลื่อนไหวราคายางพาราในตลาดโลก เนื่องจากเป็นตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นสากลมีจำนวนผู้เล่นมาก มีระบบตลาดและการส่งมอบที่ได้มาตรฐาน ทำให้ผู้ประกอบการใช้ราคาในตลาดล่วงหน้าเป็นราคาอ้างอิงในการกำหนดราคารับซื้อ

ดังนั้น ราคายางในประเทศเคลื่อนไหวทิศทางเดียวกันกับราคายางในตลาดล่วงหน้าต่างประเทศทั่วโลก

ยางพาราจัดเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม โดยมีทั้งการซื้อขายจริงและซื้อขายเก็งกำไรกันทั่วโลกผ่านตลาด ดังนี้

1) ตลาดปัจจุบัน (Current Market) หรือตลาดส่งมอบจริง (Physical Market) เป็นตลาดที่เมื่อมีการซื้อขายสินค้าเกษตรแล้ว จะต้องมีการส่งมอบสินค้าตามจำนวนและราคาที่ตกลงซื้อขาย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

(1) ตลาดส่งมอบทันที (Spot Market) เป็นตลาดที่จะต้องมีการชำระเงินและส่งมอบสินค้าทันทีที่มีการซื้อขาย เช่น การซื้อขายกันที่ตลาดกลางยางพารา การซื้อขายในตลาดแบบนี้แทบจะไม่มีการทำสัญญาซื้อขาย ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของราคายางในอนาคตเอง

(2) ตลาดส่งมอบในอนาคต (Forward Market) เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากในปัจจุบัน ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขาย ณ วันปัจจุบัน โดยกำหนดว่าจะซื้อหรือขายในวันข้างหน้า ณ ราคาวันปัจจุบัน (ใช้ราคาตลาดล่วงหน้าเป็นราคาอ้างอิงประกอบกับการต่อรองราคาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย) ปริมาณสถานที่ส่งมอบ และเมื่อถึงเวลาที่กำหนด เช่น 12 เดือนถัดไป ก็ส่งมอบสินค้า เรียกว่า สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contract)

2) ตลาดล่วงหน้า (Futures Market) จากปัญหาที่มักเกิดขึ้นในการซื้อขายแบบ Forward ทำให้เกิดการบิดพลิ้วสัญญา เนื่องจากสัญญาฟอร์เวิร์ดเป็นการซื้อขายนอกตลาด (Over the Counter) ไม่สามารถมีใครรับประกันหรือชดเชยจากการที่คู่สัญญาไม่ทำตามข้อตกลงได้

ประกอบกับปัจจุบันผู้ซื้อและผู้ขายต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคายางในอนาคต จึงเกิดตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า (Futures Contract) โดยมีการเปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามปริมาณคุณภาพ ราคา เวลา และสถานที่ส่งมอบ แต่ไม่จำเป็นต้องมีการส่งมอบกันจริงก็ได้หากผู้ซื้อไม่ต้องการและผู้ซื้อผู้ขายสามารถทำการขายหรือซื้อสัญญาสินค้าคืนได้ โดยการซื้อขายในทางตรงกันข้ามกับสถานะที่ตนถืออยู่ (Offset Position) โดยมีตลาดทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการซื้อขายด้วยระบบและการชำระราคาที่มีมาตรฐาน

1) การป้องกันความเสี่ยงโดยการซื้อล่วงหน้า (Long Hedge) ผู้ประกันความเสี่ยงที่เกรงว่าราคาสินค้าที่จะซื้อในอนาคตปรับตัวสูงขึ้น สามารถเข้ามาป้องกันความเสี่ยงโดยการซื้อล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดผลกำไรหากในอนาคตราคาปรับตัวสูงขึ้น เช่น โรงงานต้องการใช้ยางพาราเป็นวัตถุดิบในอีก 6 เดือนข้างหน้าจึงมีความเสี่ยงที่ราคายางอาจจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าวโรงงานจึงทำการตรึงราคาปัจจุบันโดยการซื้อสัญญาล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องซื้อยางเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า ราคายางที่สูงขึ้นในตลาดจริงจะทำให้ผู้ประกอบการมีกำไรจากการถือสถานะซื้อในตลาดล่วงหน้า

2) การป้องกันความเสี่ยงโดยการขายล่วงหน้า (Short Hedge) ผู้ประกันความเสี่ยงที่เกรงว่าราคาสินค้าที่จะขายในอนาคตปรับตัวลดลง สามารถเข้ามาป้องกันความเสี่ยงโดยการขายล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้เกิดผลกำไรหากในอนาคตราคาปรับตัวลดลง เช่น พ่อค้ายางซึ่งจะต้องรวบรวมยางแผ่นจากชาวสวนเพื่อนำมารมควันและขายให้แก่โรงงานผู้ส่งออกยาง อาจเกรงว่าผลผลิตยางที่ออกสู่ตลาดมากในขณะนี้จะทำให้ราคายางที่นำไปขายให้กับโรงงานมีราคาลดลงในอนาคต ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยง พ่อค้ายางจึงทำการขายสัญญาล่วงหน้าเพื่อตรึงราคาขาย ณ ปัจจุบัน

ดังนั้น เมื่อถึงเวลาที่พ่อค้านำยางไปขายให้กับโรงงานหากราคายางปรับตัวลดลง พ่อค้าจะมีกำไรจากการถือสถานะขายในตลาดล่วงหน้า

การกำหนดราคายางพาราในตลาดโลก จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานโลกเนื่องจากยางพาราเป็น Commodity ที่ซื้อขายกันทั่วโลก ปัจจัยที่จะกำหนดอุปสงค์คือความต้องการจากประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ ได้แก่ จีน สหรัฐฯ ยุโรป อินเดีย ขณะที่ปัจจัยกำหนดอุปทานคือผลผลิตของประเทศที่ผู้ผลิตหลัก ได้แก่ ไทย อินโดนีเซียมาเลเซีย

การซื้อขายยางพารานั้นผู้นำเข้าหรือผู้ใช้ยางในแต่ละประเทศจะติดต่อกับผู้ส่งออกไทย โดยพิจารณาราคายางในตลาดล่วงหน้า TOCOM SGX หรือ SHFE ณ วันปัจจุบันเป็นราคาอ้างอิง และต่อรองราคาเพื่อตกลงทำการซื้อขาย ราคาที่ตกลงซื้อขายกัน เรียกว่า ราคา F.O.B1 ซึ่งผู้ส่งออกจะจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบที่จะส่งออกโดยรับซื้อจากโรงงานแปรรูป การกำหนดราคาในขั้นตอนนี้จะพิจารณาจากราคา F.O.B หักด้วยค่าใช้จ่ายในการขนส่งและส่งออก และหักด้วยเงินสงเคราะห์ (CESS)

สำหรับโรงงานแปรรูปจะต้องหาวัตถุดิบจากพ่อค้าท้องถิ่นเพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้ยางพารา โดยกำหนดราคารับซื้อจากราคาที่จะขายได้ของโรงงานแปรรูปหักด้วยต้นทุน และบวกด้วยกำไร และสุดท้ายพ่อค้าท้องถิ่นก็จะรับซื้อยางจากเกษตรกรอีกต่อหนึ่งโดยกำหนดราคาในลักษณะที่คล้ายกัน

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว Gemini 3 Flash โมเดล AI ราคาประหยัดแต่ฉลาดเกือบเท่าเดิม