กลุ่ม40สว.ต่างสภา"มุ่งทำงานไม่คิดแก้แค้น"
ถ้าประชาชนขัดแย้งเป็นสองฟากเราไม่สามารถที่จะลบคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกจากประเทศได้
โดย...เลอลักษณ์ จันทร์เทพ, ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
ทันทีที่มีการประกาศรายชื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาจนถึง สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงท้วงติง
เสียงท้วงติงที่ว่านั้นส่วนหนึ่งมาจากการเห็นอดีตสว.ในนาม “กลุ่ม 40 สว.” ซึ่งกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ได้รับโอกาสใส่สูทเดินเข้าสภาอีกครั้ง ซึ่งทำให้ถูกเพ่งเล็งว่าจะทำการแก้แค้นฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ หลังจากในอดีตพรรคเพื่อไทยพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกระบบสว.สรรหา
คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่ม40สว. เท้าความถึงความเป็นมาของกลุ่มผ่านโพสต์ทูเดย์ว่า “ผมค่อนข้างลำบากใจ เพราะสื่อมวลขนก็ชอบบอกว่าผมเป็นแกนนำ ทั้งที่จริงๆกลุ่ม40 สว.คือการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ และจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2551 เราไม่ได้กลุ่มที่จดทะเบียน หรือมีระเบียบข้อบังคับอะไร แต่บังเอิญกลุ่ม40 สว.คือกลุ่มที่เขาเอาการเอางานในการทำงาน จึงพูดมากอภิปรายมาก ยื่นญัตติมาก บทบาทเยอะ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะถูกจับตามอง”
กลุ่ม40สว.ถือเป็นกลุ่มการเมืองหนึ่งที่อยู่ในความขัดแย้ง? คำนูณ ไม่ปฏิเสธข้อสังเกตนี้ก่อนตอบขยายความว่า “ถ้ามองในมุมของนักการเมืองฝั่งหนึ่งคงเป็นเช่นนั้น เพราะเรามีบทบาทในการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และการดำเนินการต่อนักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาพอสมควร แต่ส่วนตัวเองถือว่าเราทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกว่าควร ถ้าฝ่ายอื่นเห็นต่างไม่เป็นไร สามารถโต้แย้งกันได้”
“แม้แต่ตัวผมเองบางเรื่องเพื่อนๆก็ยังไม่เห็นด้วย เช่น คัดค้านโครงการไทยเข้มแข็งอย่างหนัก โดยใช้เหตุผลเดียวกับการคัดค้านเรื่อง 2 ล้านๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินนอกงบประมาณ และใช้เงินนอกงบประมาณ ซึ่งตอนนั้นบอกเพื่อนๆไปว่า เรื่องนี้ขอสงวนนะ เพราะมีเราอีกมุมมองหนึ่งที่ต่างกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีใครว่าอะไร นั่นแสดงให้เห็นว่าเราต้องไม่ได้เป็นกลุ่มก๊วนหรือเป็นพวกใคร”
มีเห็นต่างแต่ไม่แตกแยก
“ทุกคนสามารถเห็นต่างได้ และความรู้สึกลึกๆกับการวางตัวนั้น เมื่อผมมีบทบาทแบบนี้ บางครั้งก็อยู่ยากเหมือนกัน แต่การทำงานการเมืองเราต้องมีกลุ่ม มีเพื่อนแม้จะไม่ใช่ในรูปแบบพรรคการเมืองก็ตาม คงจะพูดได้แค่นี้”
ถัดมา คำนูณ บอกเล่าการทำงานของกลุ่ม 40 สว.โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการเมืองที่สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภาในขณะนั้นได้เข้ามาเป็นคนกลางแก้ไขปัญหาก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ไว้อย่างน่าสนใจ
“หากพูดเรื่องเอกภาพหลักใหญ่ๆจะมีความเห็นตรงกัน แต่จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจเห็นต่างกันบ้างก็มี แต่เราจะพยายามให้อยู่ในจุดยืนร่วมกัน เช่น ช่วงวิกฤตการเมืองก่อนหน้านี้กลุ่ม40สว. ก็มีความเห็นในหลักใหญ่ๆคล้ายกัน แต่ว่ารายละเอียดปลีกย่อยในมุมมองต่อข้อกฎหมายหลายประเด็น ที่ต้องนำมาอภิปรายกัน ซึ่งยอมรับว่าเราเห็นต่างกันเยอะ
“เราปิดห้องหารือกัน เถียงกันหน้าดำคร่ำเครียด แต่ในที่สุดก็ออกมาในทางที่อยู่ในแนวทางใกล้ๆกัน เช่น การวางตัวบุคคลทำหน้าที่ต่างๆ เราไม่สามารถที่จะไปกำหนดได้ว่าใครต้องทำอะไรได้ เช่น เมื่อครั้งชุมนุมของกลุ่มกปปส. ก็มีการพูดคุยว่าเราเป็นสว. เราควรจะขึ้นเวทีหรือไม่อย่างไร หรือจะขึ้นแค่ไหนอย่างไร แต่สุดท้ายก็เป็นความเห็นส่วนบุคคล และรับผิดชอบส่วนบุคคลกันไป”
คำนูณ ฉายภาพความเหนียวแน่นของกลุ่ม40สว.อีกว่า ช่วงที่ยังมีตำแหน่งกันอยู่จะนัดหารือกันเดือนละครั้ง เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นต่อกัน เช่น เราสันทัดด้านกฎหมายเราก็มาคุยให้เพื่อนฝูงฟังบ้าง แต่เมื่อพ้นตำแหน่งไปแล้วตั้งแต่รอบแรกเมื่อปี2551 และรอบสองเมื่อปี2554 ก็เริ่มห่างหายกันไปเพราะผู้ประสานงานกลุ่ม คุณไพบูลย์ นิติตะวัน สอบตกไป และก็มีสว.สรรหากลุ่มใหม่เข้ามา ซึ่งไม่มีได้ประวัติศาสตร์ร่วมกลุ่ม40สว.มาด้วยกัน ก็จะกลายเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง บางทีจะเรียกว่ากลุ่ม 40สว.ไม่ค่อยจะมีแล้วก็ว่าได้
“ตั้งแต่ช่วงหลังรัฐประหารมาไม่ได้มีการพบปะเป็นประจำเหมือนอย่างเคย ยกเว้นแต่ว่ามีบางวาระของสังคมไทย ก็พบกันคิดถึงกัน ไปตีกอล์ฟร่วมกัน กินเลี้ยงตอนเย็นก็มีบ้าง แต่แทบไม่ได้มีมติเป็นทางการว่าทำอะไรอย่างไร เพราะตอนนี้เราทำงานแยกกันแล้ว ต่างคนต่างมีกรอบการทำงานของตัวเอง มีหน้าที่ต่างกัน แต่ก็อาจจะมีคุยกันได้บ้างแบบเพื่อนฝูงเป็นการส่วนตัว
ขอทำงานไม่คิดแก้แค้นใคร
กับคำถามสำคัญที่หลายคนกังขาว่ากลุ่ม40สว.ที่กระจายไปอยู่ในสนช.และสปช. จะมีการเอาคืนหรือแก้แค้นพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามหรือไม่? คำนูณ ตอบว่า “อยากให้ติดตามผลงานกันต่อไป ส่วนตัวก็มีเพื่อนนักการเมืองฟากโน้นอยู่หลายคน แม้จะมีความคิดเห็นที่ต่างกันแต่ถ้าเจอกันก็คุยได้ เขาก็ฝากเรามาหลายสิ่งหลายอย่าง และผมเองก็บอกว่าถ้าผมมีหน้าที่ มีจุดยืนในการทำงาน และพูดเสมอมาว่า ถ้าประชาชนขัดแย้งเป็นสองฟากเราไม่สามารถที่จะลบคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งออกจากประเทศได้”
“ประเทศเราไม่ใช่เกมคอมพิวเตอร์ที่จะลบข้อมูลอะไรได้ และการทำงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้น เราจะไปเขียนอะไรเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่ง และกีดกันคนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้ แม้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะได้ผลในช่วงสั้นๆ แต่ระยะยาวจะไม่ได้ผลแน่นอน”
คำนูณ ขมวดประเด็นว่า ถ้าเรายอมรับว่าไม่สามารถลบคนที่คิดต่างหรือคิดไม่เหมือนเราได้ เราต้องมีวิธีการที่จะพูดคุยกันยอมรับกันได้แค่ไหนอย่างไร บางทีเดินอยู่ในสภา เจอ คุณวรชัยเหมะ ก็รู้จักมา 30-40ปี แต่ก็ห่างกันไปไม่ได้ติดต่อกันมา พอเจอก็ทักทายกัน นี่คือความเป็นสังคมไทย ลากเก้าอี้มาคุยกัน เขาก็บอกว่าเอาอย่างนี้นะ อย่างนี้นะ พวกพี่ยอมได้แค่ไหน และผมก็จะบอกการทำหน้าที่และจุดยืนตัวเองไป ก็จะเป็นลักษณะแบบนี้ เราจะต้องพิสูจน์กันในระยะยาว ไม่ใช่ว่าเดินหน้าแล้วจะต้องเกลียดกัน”
“อยากให้สังคมไทยไม่ทะเลาะกัน หรือแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่ายอยู่ร่วมกันไม่ได้ เราจะทำอย่างไร อยากให้ยุคของลูกผมอยู่ได้อย่างมีความสุข อะไรที่เราลดละความเห็นส่วนตัวได้ และรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาบ้างก็จะดี ใช่ว่าเข้ามาเป็นสปช. แล้วจะละทิ้งจุดยืนเดิมของเรา แต่เราต้องเปิดใจให้กว้างรับฟังความคิดเห็นคนอื่น ขณะเดียวกันคนอื่นก็ต้องเปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของเราเช่นกัน สังคมไทยอาจะมีข้อเสียที่ว่าใครพูดออกมาเราดูเนื้อหาทีหลัง แต่ดูก่อนว่าใครพูดแล้วก็จับความสัมพันธ์ในอดีตแบบตายตัว ทั้งหมดนี้เราต้องช่วยกัน”
ขจัดอำนาจรวมศูนย์ เป้าใหญ่ปฏิรูป
ขณะที่ คำนูณ บอกถึงความตั้งใจส่วนตัวกับการทำงานในตำแหน่งสมาชิกสปช.ว่าอยากมีโอกาสเข้าไปทำหน้าที่ในตำแหน่งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยได้บอกถึงแนวความคิดของตัวเองในการปฏิรูปประเทศหากมีโอกาสได้เป็นกรรมาธิการยกร่างฯว่า “เป้าหมายสูงสุดที่ทุกคนหวังเหมือนกันคือ ขจัดคอรัปชั่น การคอรัปชั่นขนาดใหญ่เกิดขึ้นจากโครงสร้างทางการเมืองและโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินที่รวมศูนย์กันทั้งสองด้าน”
“ที่ผ่านมาการเข้าสู่อำนาจต้องผ่านพรรคการเมือง จึงทำให้การลงทุนทางการเมืองมีความคุ้มค่า คือถ้าชนะการเลือกตั้งขึ้นมาหัวหน้าพรรคการเมืองจะครองอำนาจได้ค่อนข้างมาก ส่วนโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินก็เป็นราชการรวมศูนย์ โครงสร้างระบบราชการแบบนี้จะสามารถสั่งการหรือดำเนินการได้ทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นการผูกขาดการใช้อำนาจรวมศูนย์ทั้งสองประการดังกล่าว ทำให้การลงทุนทางการเมืองคุ้มค่า”
“เช่น เรามีตำรวจทั่วประเทศ 2แสนคน ใครเป็นผู้บัญชาการตำรวจ ใครเป็นนายกรัฐมนตรีที่คุมผู้บัญชาการตำรวจก็สามารถที่จะคุมการแต่งตั้งโยกย้ายได้ทั่วประเทศ จังหวัดก็เช่นกัน ผู้ว่าราชการจังหวัดก็มาจากส่วนกลาง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดหรือไม่อย่างไร แต่บอกว่าระยะยาวเราต้องมีธง ขจัดการผูกการรวมศูนย์อำนาจที่พรรคการเมืองที่รวมศูนย์สู่ส่วนกลางทั้งหมด”
คาดแรงกดดันมีมหาศาล
ต่อให้มีแนวคิดที่ดีขนาดไหนแต่ในความเป็นจริงแล้ว ‘คำนูณ’ ก็ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยากและไม่สำเร็จได้ง่ายๆเพราะตลอดเส้นทางของการวางโครงสร้างให้กับประเทศใหม่คงต้องเจอกับแรงกดดันจากหลายฝ่ายอีกมหาศาล
“ภาพรวมการปฏิรูปประเทศคงไม่เสร็จภายใน1 ปี แต่อาจจะเสร็จในเรื่องโครงสร้างของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่น่าจะกำหนดเรื่องการปฏิรูปเอาไว้หลักๆ แต่เรื่องอื่นๆคงต้องไปดำเนินการในรัฐบาลชุดต่อไป ดังนั้น ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจต้องกำหนดกระบวนการรับช่วงต่อการปฏิรูปประเทศเพื่อให้เกิดเป็นพันธะสัญญา”
“ถามว่าแรงกดดันมีมากไหม มีแน่นอนเพราะกรอบแนวทางของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่อยู่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว ไปตัดสิทธินักการเมืองเก่าจำนวนมากทั้งกลุ่ม111 และกลุ่ม109 ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่คงเรื่องนี้เอาไว้มีผลกระทบแน่นอน หรือในเรื่องอื่นๆที่จะไปกระทบต่อนักการเมือง เช่นการลดจำนวนสส.หรือสมัครสส.ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง คนที่เป็นพรรคการเมืองคงกระทบกระเทือน ซึ่งการเคลื่อนไหวของฝ่ายที่อาจได้รับผลกระทบน่าจะปรากฏให้เห็นหลังจากเดือนเม.ย.2558 ที่จะได้เห็นตัวร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
“เป็นเรื่องท้าทายของสภาปฏิรูป และกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญว่าจะมีวิธีการทำให้ประชาชนเข้าใจและยอมรับได้อย่างไรกับการเขียนบทบัญญัติต่างๆที่ออกมาที่อาจแตกต่างไปกับความเคยชินเดิมๆ และต้องตอบคำถามให้ได้ว่าเป็นการเขียนเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานจริงๆไม่ใช่เขียนเพื่อเอื้อต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง”
นอกจากนี้ องค์กรตามกฎหมายต่างๆก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สมควรได้สมควรถูกปรับเปลี่ยนให้เกิดความเหมาะสมต่อสภาพสังคมไทยด้วยในความคิดของคำนูณ ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้พอสมควรเพราะการปฏิรูปครั้งนี้ไม่ได้ตัวแทนจากองค์กรอิสระเข้ามาในสปช.
“การคัดเลือกจะเห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีการเลือกผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรอิสระเข้ามา เพราะฉะนั้นจึงเปิดกว้างการทบทวนภารกิจหน้าที่องค์กรอิสระต่างๆนั้นจะต้องปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากขึ้น และก่อนหน้านี้โดยอำนาคสช.ได้ยุบไปแล้วหนึ่งองค์กร คือ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เราจะเห็นได้ว่ามีองค์กรทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่ และหลายองค์กรพี่น้องประชาชนสงสัยว่าทำหน้าที่อะไร และมีผลต่อบ้านเมืองแค่ไหนอย่างไร
เช่น สภาพัฒนาการเมือง สภาองค์กรชุมชน สิ่งต่างๆเหล่านี้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องนำมาทบทวน หรือแม้แต่ภาระหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไปจะเป็นอย่างไรจะมีคำถามที่สังคมหยิบยกขึ้นมาไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม เป็นต้นว่าวาระบางวาระ บางองค์กรนานเกินไปหรือไม่ เช่น 9 ปี ควรจะสั้นกว่านั้นหรือไม่ นี่คือประเด็นที่ต้องอภิปรายกัน”
"เพื่อไทย"อาจกลับมา แต่ไม่เหมือนเดิม
บทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในอนาคตหลังจากสิ้นสุดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในมุมมองของ ‘คำนูณ’ เห็นว่าอดีตนายกฯทักษิณน่าจะมีอิทธิพลต่อไป แต่อาจไม่มากเท่าไหรนัก อย่างไรก็ตาม ก็อ่านใจพ.ต.ท.ทักษิณว่าตัวพ.ต.ท.ทักษิณยังคงคิดว่าประชาชนน่าจะเลือกเครือข่ายของตัวเองอยู่ในอนาคต
“มีบทบาทอยู่แล้ว เพราะท่านเป็นนักการเมือง แต่ตัว คุณทักษิณ และครอบครัว อาจจะลดบทบาทลงไป เพราะดูจากทิศทางตอนนี้ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ ท่านอาจจะมีความเชื่อว่าปล่อยให้คสช.ทำให้เต็มที่ ให้กระบวนการทั้งหมดทำได้เต็มที่ เพราะอาจจะเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะเลือกเครือข่ายของท่านเข้ามาอีก”
แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีการจำกัดการใช้นโยบายประชานิยม พร้อมกับเปลี่ยนกระบวนการเลือกตั้งใหม่ แต่ก็คิดว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาอีก? คำนูณ วิเคราะห์ว่า ตอบยาก เพราะกว่าจะถึงวันเลือกตั้งก็ต้นปี2559 เวลาที่ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งเขาจะเกิดขึ้นจากบรรยากาศทางการเมือง ณ ขณะนั้น เช่น คนกรุงเทพ เลือกผู้ว่ากทม.ก็แทบจะไม่ได้ดูนโยบายเท่าที่ควร แต่จะดูที่อารมณ์และสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
“เพราะฉะนั้นการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะสำคัญมากถ้าสามารถแก้ปัญหาบรรเทาเบาบาง ความเดือดร้อนประชาชนทางเศรษฐกิจ ที่อยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกมีปัญหา และเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงภาวะชะงักงัน ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อประชาชนในขณะนั้นได้ผลการเลือกตั้งจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง”
“ประชานิยมคือวิธีการง่ายที่สุดที่จะหาคะแนนนิยม แต่เชื่อน่าจะมีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับถาวรในบางระดับ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปห้ามประชานิยมทั้งหมด เพราะประชานิยม ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายถ้าใช้เพียงยาแก้ปวดเฉพาะหน้าก่อนที่จะไปถึงโรงพยาบาล แต่จะต้องไม่ใช้ตลอดไป แต่บังเอิญการเมืองไทยไม่เคยมีรัฐบาลไหนอยู่ยาวจนได้แก้ปัญหาในระยะยาว”
หากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเท่ากับการปฏิรูปเสียของ? อดีตสว.สรรหา ตอบว่า ในความคิดเห็นของคนกลุ่มหนึ่งอาจจะมองได้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น เรื่องที่จะกลับมาครองอำนาจรัฐกลุ่มเดียวเหมือนเดิมคงไม่เกิดขึ้นได้ แต่อาจจะคงอยู่ในระบบการเมือง หรืออาจจะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลหรือไม่อย่างไรก็สุดแล้วแต่
“ถ้าเราดูคำปรารภของรัฐบาลต่างๆ นายกฯไม่ได้มุ่งหวังที่จะเข้ามาเพื่อทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ท่านจะบอกเสมอว่าเป็นเพราะเกิดความขัดแย้งกันระหว่างสองฝ่ายหรือหลายฝ่าย เพราะฉะนั้นท่านเข้ามาเพื่อยุติความขัดแย้งและทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้”
“ที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จในแง่ที่ความสงบ แต่ก็ถือว่าเป็นความสงบที่เหมือนทุกฝ่ายถอยมาก้าวหนึ่งรอดูจังหวะเท่านั้น จากนี้ไปคือของจริง หลัง 23 เม.ย.2558 ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมาธิการยกร่างฯจัดทำร่างรัฐธรรมนูญเสร็จ ทุกอย่างจะปรากฏไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหว ความสำเร็จ ความล้มเหลว ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไร เราก็ยังตอบไม่ได้จนกว่าจะได้เห็นว่าบทบัญญัติที่จะทำให้กลุ่ม111กลุ่ม109 จะถูกตัดสิทธิ์ไปตลอดชีวิตจะถูกคงไว้หรือไม่”


