เอกราชของสกอตแลนด์
ข่าวที่คนทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุดในรอบเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเรื่องการลงประชามติในสกอตแลนด์ว่าจะอยู่ร่วมกับอังกฤษในสหราชอาณาจักรต่อไป หรือจะแยกตัวเองออกมาเป็นประเทศเอกราช
ข่าวที่คนทั่วโลกให้ความสนใจมากที่สุดในรอบเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา น่าจะเป็นเรื่องการลงประชามติในสกอตแลนด์ว่าจะอยู่ร่วมกับอังกฤษในสหราชอาณาจักรต่อไป หรือจะแยกตัวเองออกมาเป็นประเทศเอกราช
คนที่ติดตามข่าวต่างประเทศอย่างผิวเผินอาจรู้สึกเป็นเรื่องแปลกใหม่ หรือเป็นเรื่องสกอตแลนด์เลียนแบบยูเครน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เรื่องของสกอตแลนด์ต่างจากเรื่องของยูเครนเป็นอันมาก
สกอตแลนด์กับอังกฤษในสมัยโบราณเคยเป็นอิสระต่อกัน แต่เป็นอิสระแบบกึ่งเครือญาติ เพราะอยู่บนเกาะเดียวกัน หนีหน้ากันไม่พ้น รวมทั้งราชวงศ์ของทั้งสองประเทศก็อภิเษกกันไปอภิเษกกันมา
ทั้งสองประเทศมารวมตัวกันอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 300 ปีก่อน โดยมีเวลส์กับไอร์แลนด์อยู่ในสมการของการรวมตัวด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เปลวไฟแห่งความรู้สึกอยากเป็นเอกราชของสกอตแลนด์ไม่เคยดับสนิท เป็นเพราะความสัมพันธ์ภายในสหราชอาณาจักรไม่เคยเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง อังกฤษถูกจัดอยู่ในฐานะพี่ใหญ่และเป็นประมุขของตระกูล ในขณะที่สกอตแลนด์ เวลส์กับไอร์แลนด์เป็นน้องและมีความสำคัญรองลงไป ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นเรื่องไม่แปลก เพราะอังกฤษมีขนาดของประชากรใหญ่กว่ามาก คือใหญ่กว่าสกอตแลนด์ถึงประมาณสิบเท่า
อังกฤษมีความเจริญทางเศรษฐกิจมากกว่า และกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรกระจุกตัวอยู่ในกรุงลอนดอนและบริเวณโดยรอบ
ลอนดอนเป็นทั้งเมืองหลวงและเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจ
ไอร์แลนด์ลงประชามติและส่วนใหญ่ขอแยกตัวไปเมื่อเกือบร้อยปีก่อน เกิดเป็นประเทศสาธารณรัฐไอร์แลนด์ขึ้น แต่ส่วนน้อยคือไอร์แลนด์เหนือยังเลือกที่จะอยู่ในสหราชอาณาจักรต่อมาจนถึงทุกวันนี้
ตัวผมเองสมัยเป็นนักเรียนเคยท่องเที่ยวไปในในสกอตแลนด์ จำได้ว่าครั้งหนึ่งผมโบกรถริมทาง มีชาย 2 คนจอดรับ ในการสนทนาระหว่างอยู่ในรถ ผมยิงคำถามว่าสกอตแลนด์ควรเป็นเอกราชหรือไม่ ปรากฏว่าภายในไม่กี่นาที ทั้งสองคนทะเลาะกันหน้าดำคร่ำเครียด จนผมต้องตัดสินใจหุบปากตัวเองและนั่งฟังอย่างเดียว เมื่อรถยนต์มาถึงที่หมายในอีก 1 ชั่วโมงต่อมา และผมขอลง ทั้งสองก็ยังทะเลาะกันไม่เลิก
เห็นไหมครับว่า การลงประชามติครั้งนี้ของสกอตแลนด์ไม่ใช่เรื่องใหม่ และข่าวของความคู่คี่สูสีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก รวมทั้งผลจริงที่ไม่ใคร่สูสีนักก็ไม่แปลกอีกเช่นกัน
ถ้อยคำข้างต้นอาจฟังดูขัดกัน ว่าจริงๆ แล้วคู่คี่สูสีหรือไม่กันแน่
แต่ก่อนจะพูดเรื่องผลของการลงประชามติ ผมขอพูดเรื่องความแตกต่างระหว่างกรณีของสกอตแลนด์กับของยูเครนเสียก่อน
กฎหมายของยูเครน รวมทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศอื่นๆ เกือบทั้งโลก ต่างห้ามมิให้มีการแบ่งแยกดินแดน หรือหากจะมี ก็ต้องเป็นการลงประชามติของคนทั้งประเทศ ซึ่งในแง่มุมหนึ่งอาจถือเป็นความอยุติธรรม เพราะทำให้คนส่วนน้อยตัดสินอนาคตของตัวเองไม่ได้ แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นความจำเป็น มิฉะนั้นเอะอะก็จะมีการขอแบ่งแยกดินแดน รวมทั้งอาจมีปัญหาประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาแทรกแซงชุบมือเปิบ
นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษพูดไว้ดีมาก เขาบอกว่าการลงประชามติเพื่อขอแยกดินแดนมีความสำคัญกว่าการเลือกตั้งทั่วไปมาก เพราะการเลือกตั้งทั่วไปมีผลเพียง 45 ปี แต่การแยกดินแดนมีผลชั่วชีวิต
โดยทั่วไป หากเป็นประเทศใหญ่และมีความเข้มแข็ง โอกาสที่จะปล่อยให้มีการแยกดินแดนมีน้อยมาก เช่น กรณีของทิเบตอยากแยกจากจีน หรือแคชเมียร์บางส่วนอยากแยกจากอินเดีย โอกาสที่จะเกิดในปัจจุบันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ความสำเร็จในการแยกดินแดนมักจะเกิดในขณะที่ประเทศชาติอ่อนแอ เช่น สหภาพโซเวียตเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน แตกกระจายเป็นรัสเซีย ยูเครน และยุโรปตะวันออกอีกหลายประเทศ
ปัญหาของยูเครนก็เกิดขึ้นในขณะที่ประเทศกำลังอ่อนแอ ไครเมียถูกรัสเซียฮุบไปแล้ว ทั้งๆ ที่การลงประชามติในไครเมียผิดกฎหมายของยูเครน ส่วนยูเครนตะวันออกก็กำลังร้อนระอุ
กรณีของสกอตแลนด์จึงต่างจากยูเครนและการแยกประเทศอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่งเพราะสหราชอาณาจักรไม่ได้อยู่ในภาวะอ่อนแอ อีกด้านหนึ่งไม่มีกรณีของมือที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง
การลงประชามติของสกอตแลนด์เป็นไปด้วยความศิวิไลซ์ อังกฤษถึงจะไม่ใคร่เต็มใจ แต่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
กระบวนการในการทำประชามติครั้งนี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2011 ในการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นในสกอตแลนด์ พรรคใหญ่ประจำท้องถิ่น คือพรรคเอสเอ็นพี ประกาศเป็นนโยบายหาเสียงว่า หากชนะเลือกตั้งจะดำเนินการให้มีการลงประชามติ โดยพรรคจะอยู่ฝ่ายสนับสนุนให้มีการแยกดินแดน
ผลปรากฏว่าเอสเอ็นพีชนะเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากในสภาท้องถิ่นและได้จัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่น และหลังจากนั้นได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลกลางในกรุงลอนดอนเพื่อเดินหน้าในการจัดทำประชามติ มีการจัดตั้งทั้งองค์กรสนับสนุนและคัดค้าน เพื่อให้ชาวสกอตมีโอกาสได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกันจากทั้งสองฝ่าย
ในช่วงแรก มีคนกลุ่มหนึ่งในอังกฤษที่แย้งว่าน่าจะเป็นการทำประชามติของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในสกอตแลนด์ แต่ข้อโต้แย้งนี้ก็ตกไปอย่างรวดเร็ว เพราะส่วนใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องที่ชาวสกอตต้องตัดสินใจ และประชากรส่วนอื่นในสหราชอาณาจักรต้องเคารพการตัดสินใจนั้น
แม้แต่ถ้อยคำที่ใช้ในประชามติก็เลือกกันอย่างระมัดระวัง เช่น ตอนแรกจะใช้ประโยค...ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่สกอตแลนด์จะเป็นเอกราช แต่เมื่อถูกแย้งว่าเป็นการถามในลักษณะชี้นำ ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็น...สกอตแลนด์ควรเป็นเอกราชหรือไม่
กลับมาที่เรื่องผลของการลงประชามติ ผมเชื่อว่าคนที่เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองในสกอตแลนด์จริงๆ รู้ดีว่าชาวสกอตส่วนใหญ่ยังเห็นประโยชน์ของการเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร หากส่วนใหญ่อยากแยกตัวออกไปจริง ก็คงสำเร็จไปนานแล้ว เหมือนที่ไอร์แลนด์ได้ทำไปแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องยอมรับว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ฝ่ายที่ต้องการแยกประเทศมีโอกาสมากที่สุด ที่เป็นเช่นนี้เพราะตั้งแต่มีการขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือเป็นต้นมา ซึ่ง 90% ของบ่อน้ำมันอยู่ในเขตสกอตแลนด์ รายได้เฉลี่ยของชาวสกอตก็โตวันโตคืน จนปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับคนอังกฤษ รวมทั้งมีความเชื่อในหมู่ชาวสกอตส่วนหนึ่งว่า หากรายได้จากน้ำมันไม่ผ่านการจัดสรรในกรุงลอนดอน สกอตแลนด์จะร่ำรวยมากกว่านี้
ความมั่นใจในเศรษฐกิจของตัวเองที่สูงขึ้นทำให้แนวคิดในการขอแยกดินแดนมีแรงหนุนมากขึ้นตามไปด้วย
แต่ในขณะเดียวกันก็มีสัญญาณความไม่ลงตัวในเรื่องสกุลเงินที่จะใช้หลังเป็นเอกราช แต่เดิมพรรคเอสเอ็นพีมีจุดยืนมาโดยตลอดว่าจะหันไปใช้เงินยูโรแทนเงินปอนด์ แต่มาภายหลังเมื่อเงินยูโรและประเทศไอร์แลนด์มีปัญหา ก็เปลี่ยนท่าทีว่าจะขอใช้เงินปอนด์ร่วมกับสหราชอาณาจักรตามเดิม ซึ่งเป็นแนวคิดที่ทำให้มีคนไม่เห็นด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เพราะเกรงว่าความสะดวกในระยะแรกจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังในระยะยาว
ภาพของความคู่คี่สูสีนอกจากจะทำให้คนทั่วโลกสนใจข่าวการลงประชามติของสกอตแลนด์มากขึ้นแล้ว ยังทำให้คนสกอตแลนด์เองแห่แหนกันออกมาใช้สิทธิอย่างล้นหลาม ซึ่งก็ยิ่งทำให้เกิดความชัดเจนว่า คนส่วนใหญ่ยังต้องการอนุรักษ์ระบบเดิมไว้


