posttoday

จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง

28 กันยายน 2557

ท่านผู้อ่านที่เคารพ คำกล่าวที่ว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” เป็นเรื่องจริงยิ่งนัก

ท่านผู้อ่านที่เคารพ คำกล่าวที่ว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” เป็นเรื่องจริงยิ่งนัก หากคนเราไม่พูดจากัน ไม่สื่อสารกันให้ชัดเจนด้วยความสัตย์จริง การที่จะมานั่งเดาใจการกระทำของคนอีกคนหนึ่ง อาจทำให้เข้าใจผิดและอาจส่งผลกระทบอื่นๆ อีกมากมาย ตัวอย่างในพระสูตรเกี่ยวกับพระปัจเจกพุทธเจ้ากับนายวิเสท (พ่อครัว) มีเรื่องราวที่น่าสนใจ พ่อครัวนั้นตีความการนิ่งของพระราชาด้วยความจิตที่ประกอบด้วยอกุศล ส่วนพระราชาเห็นพฤติกรรมของนายพ่อครัวที่ตอบสนองมาก็เกิดปลงสังเวช ได้บรรลุธรรม เพราะใจของท่านนั้นประกอบด้วยสติปัญญา ความโดยย่อมีดังนี้

วิเสท (พ่อครัว) ของพระเจ้าพาราณสีคนหนึ่ง เมื่อได้โอกาสปรุงพระกระยาหารถวาย ก็ทำอย่างสุดฝีมือ แล้วน้อมเข้าถวายด้วยความปรารถนาว่า “การเห็นโภชนะที่ฟูใจ เป็นรสที่ประเสริฐทำอย่างไรหนอพระราชาพึงพระราชทานทรัพย์แก่เรา” พระกระยาหารนั้นมีกลิ่นหอมอย่างยิ่ง เพียงพระราชาได้กลิ่นก็ยังความประสงค์ที่จะเสวยให้เกิดขึ้นแม้เพียงด้วยกลิ่นเท่านั้น พระเขฬะ (น้ำลาย) เกิดขึ้นในพระโอษฐ์ แต่พอพระองค์ทรงใส่พระกระยาหารคำแรกลงในพระโอษฐ์ ประสาทสำหรับรับรสก็ซาบซ่านดุจถูกน้ำอมฤต วิเสทผู้นั้นคิดว่า “บัดนี้พระราชาจักทรงพระราชทานแก่เรา” ฝ่ายพระราชาทรงพระราชดำริว่า “พ่อครัวสมควรแก่สักการะ แต่ครั้นทรงลิ้มรสแล้ว ทรงพระราชดำริว่า เกียรติศัพท์ที่ชั่วพึงระบือถึงเราผู้สักการะว่า พระราชานี้เป็นผู้โลภติดในรส จึงไม่ตรัสอะไร”

ฝ่ายวิเสทก็คิดว่า พระราชาจักพระราชทานรางวัลในบัดนี้จนกระทั่งเสวยพระกระยาหารเสร็จอย่างนี้ แม้พระราชาก็ไม่ตรัสอะไร เพราะทรงกลัวการติเตียน วิเสทคิดว่าพระราชานี้ไม่มีชิวหาวิญญาณ ในวันที่สองจึงนำพระกระยาหารไม่ดีเข้าทูลถวาย พระราชาเมื่อเสวยอยู่แม้ทรงรู้ว่า วันนี้พ่อครัวควรแก่การตะคอก ควรแก่การข่ม ทรงพิจารณาดุจในก่อนก็ไม่ตรัสอะไร เพราะทรงกลัวการติเตียน

แต่นั้นมาวิเสทคิดว่า พระราชาไม่ทรงรู้พระกระยาหารที่ดีที่ไม่ดีดังนี้แล้ว ถือเอาสิ่งของที่ตนสั่งสมไว้ทั้งหมดปรุงพระกระยาหารอย่างใดอย่างหนึ่งถวายแด่พระราชา พระราชาทรงเบื่อหน่ายว่า โอหนอความโลภ เราบริโภคตลอด 2 หมื่นปี ก็ไม่ได้แม้มาตรว่าภัต เพราะความโลภของพ่อครัวนี้ ดังนี้แล้วทรงสละพระราชสมบัติ ทรงผนวช เห็นแจ้งอยู่ ทรงกระทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกโพธิญาณ(ผู้ที่ตรัสรู้เอง แต่ไม่สามารถสอนผู้อื่นได้) แล้วตรัสพระคาถาว่า

บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่หลอกลวง ไม่มีความกระหาย

ไม่ลบหลู่ มีโมหะดุจน้ำฝาดอันกำจัดเสียแล้ว

ไม่มีความอยาก ครอบงำโลกทั้งปวงได้แล้ว

พึงเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนนอแรด ฉะนั้น

นี่แหละหนอเรื่องของคนที่มีความโลภ ทำความดีก็จริง คือตั้งใจประกอบอาหารอย่างดี อย่างอร่อยยิ่ง แต่ประกอบด้วยตัณหาอยากที่จะได้รับรางวัล อยากได้รับคำชมเชย เครื่องตอบแทน เมื่อไม่ได้เครื่องตอบแทนที่ตนหวังก็คิดไปต่างๆ นานาด้วยกิเลสของตน หาได้รู้ไม่ว่า จิตใจของพระราชานั้น เกรงต่อการติหนิ เพราะทรงมี หิริ โอตตัปปะ ไม่ต้องการกระทำสิ่งที่เป็นไปด้วย ความอยากในรสครอบงำ แม้เมื่อพ่อครัวทำอาหารที่เลว มีรสแย่ ก็ไม่ทรงตำหนิ เพราะเกรงต่อการตำหนิ เตือนตนไม่ให้ติดในรสตัณหา หรือไม่ติดในรส คือ ไม่ใช่ได้รสดี ก็หลงยินดีโลภเสียมากมาย หรือได้รสไม่ดี ก็ไม่โกรธ เกิดโทสะ

แต่เมื่อทั้งพระราชาและพ่อครัวไม่ได้พูดกัน พ่อครัวจึงตีความเอาตามกิเลสของตน คิดว่าพระราชาที่ไม่ทรงแสดงอะไร เป็นเพราะทรงเป็นผู้ไม่รู้รสอาหาร ไม่รู้จักแยกแยะว่าอาหารอย่างใดดี อย่างใดไม่ดี แล้วก็กระทำการตามใจไม่ใส่ใจอีกต่อไป นี่ก็คือวิสัยของผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจกิเลสของตน ส่วนพระราชานั้นเมื่อได้เห็นการกระทำของนายพ่อครัว แทนที่จะโกรธเกิดโทสะหรือโลภอยากเสวยอาหารที่อร่อย กลับเกิดสติปัญญา พิจารณาเห็นตามธรรม จนเป็นเหตุให้สละราชสมบัติออกผนวช บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้

คาถานี้มีคำอธิบายเพิ่มเติม ซึ่งทำให้เราเข้าใจทราบซึ้งในคาถาของพระปัจเจกพุทธเจ้า ว่า

บุคคลใดถูกความอยากในรสครอบงำ บุคคลนั้นย่อมโลภจัดและโลภบ่อยๆ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า “ผู้มีความโลภ” ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเมื่อจะปฏิเสธความโลภนั้น จึงกล่าวว่า “ผู้ไม่โลภ”

“บุคคลผู้ไม่หลอกลวง” เพราะไม่ถึงความกระหยิ่มในโภชนะอันฟูใจ เป็นต้น ส่วน “ผู้ไม่มีความอยากดื่ม” ชื่อว่าไม่มีความกระหาย เว้นแล้วจากความเป็นผู้ใคร่จะบริโภคด้วยความโลภในรสดี

“การลบหลู่” คือการยังคุณของคนอื่นให้เสื่อมเสีย ชื่อว่าไม่ลบหลู่เพราะไม่มีการลบหลู่นั้น ในคาถานี้ พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวหมายถึงความไม่มีการลบหลู่คุณของพ่อครัว ในกาลที่ตนยังเป็นคฤหัสถ์

น้ำฝาด หมายถึง ไม่เลื่อมใสตามความเป็นจริงและด้วยอรรถว่าให้ละภาวะตนให้ถือภาวะอื่น น้ำฝาด (กสาวะ) หมายถึง ธรรม 6 อย่าง คือ กสาวะ 3 ได้แก่ ราคกสาวะ โทสกสาวะ โมหกสาวะ และกสาวะ 3 ได้แก่ กายกสาวะ วจีกสาวะ มโนกสาวะ

ชื่อว่ามีโมหะดุจน้ำฝาดอันกำจัดเสียแล้ว เพราะกำจัดโมหะอันเป็นมูลรากแห่งกสาวะ 5 เว้นโมหะ (ซึ่งโมหะเองก็เป็นกสาวะประเภทหนึ่ง) ในบรรดากสาวะ 6 นั้น และกำจัดกสาวะ 6 อย่างเหล่านั้นทั้งหมดเสียแล้ว และชื่อว่ามีโมหะดุจน้ำฝาดอันกำจัดเสียแล้ว เพราะกำจัดกายกสาวะ วจีกสาวะ และมโนกสาวะทั้ง 3 อย่างนั้น และโมหะเสียแล้ว ในบรรดากสาวะนอกนี้ ความที่บุคคลกำจัดราคกสาวะได้แล้ว ก็เป็นอันกำจัดโทสกสาวะได้ด้วย เพราะไม่ลบหลู่สำเร็จแล้ว ด้วยความเป็นผู้ไม่โลภเป็นต้นนั่นเอง

ไม่มีความอยาก คือ ไม่มีตัณหาในโลกทั้งสิ้น คือ ในภพทั้ง 3 หรือในอายตนะ 12 คือ งดเว้นภวตัณหาและวิภวตัณหาแล้ว พึงเที่ยวไปผู้เดียว หรือแม้อย่างนี้ว่าพึงอาจเพื่อเที่ยวไปผู้เดียว

ข่าวล่าสุด

กองหลังผลัดกันรั่ว ! แมนยู เสมอเดือด บอร์นมัธ 4-4 ผลบอลพรีเมียร์ลีก