แนะรื้อกม.อุ้มบุญ เพิ่มหลักสิทธิคนท้องแทน-ให้โอกาสเกย์ทำได้ด้วย
นักวิชาการชี้พ.ร.บ.เทคโนโลยีเจริญพันธุ์เน้น “ห้าม” มากไป ห่วงกระบวนการหนีลงใต้ดินแทน
นักวิชาการชี้พ.ร.บ.เทคโนโลยีเจริญพันธุ์เน้น “ห้าม” มากไป ห่วงกระบวนการหนีลงใต้ดินแทน
วันที่ 19 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีการจัดเวทีสาธารณะเรื่อง “กฎหมายอุ้มบุญ : เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์กับความเป็นธรรมทางเพศ” โดย น.ส.สุชาดา ทวีสิทธิ์ นายกสมาคมเพศวิถีศึกษา เปิดเผยว่า กลุ่มที่ต้องการตั้งครรภ์แทน สามารถแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม เช่น สามีภรรยาที่มีบุตรยาก เนื่องจากเป็นหมัน หรือ กลุ่มที่แต่งงานมีสามี แต่ไม่อยากตั้งครรภ์เอง รวมถึงกลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ซึ่งหากจต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทน ก็ควรครอบคลุมสิทธิมนุษยชนของคนทุกกลุ่ม รวมถึงไม่ควรมีกฎหมายด้านลบ ที่จะส่งผลกระทบต่อการคุ้มครองสิทธิ์ของคนเหล่านี้ โดยหากกฎหมายมีเนื้อหา “ห้าม” จะทำให้ขบวนการรับจ้างตั้งครรภ์แทนซับซ้อน และอยู่ใต้ดินมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุม
น.ส.สุชาดา กล่าวอีกว่า ร่างกฎหมายฉบับที่กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาตินั้น มีความเป็นอนุรักษ์นิยม ซึ่งห้ามการตั้งครรภ์แทนเชิงพาณิชย์ชัดเจน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริง นอกจากนี้ ยังปิดกั้นคู่ชีวิตเพศเดียวกัน หรือบุคคลที่เป็นโสดไม่ให้ตั้งครรภ์แทน ทั้งนี้ เสนอให้มีการทำสัญญา ข้อตกลงเกี่ยวกับการรับจ้างตั้งครรภ์ทั้งสามฝ่าย ได้แก่ หญิงรับจ้างตั้งครรภ์ บริษัทนายหน้า และผู้ว่าจ้าง รวมถึงควรมีการระบุแนบท้ายสัญญาให้ครอบคลุมการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิทธิสุขภาพของหญิงรับจ้างตั้งครรภ์ และกำหนดอายุ รวมถึงสุขภาพของผู้ที่อุ้มบุญตามประกาศแพทยสภา
นอกจากนี้ ยังควรกำหนดราคาค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ และค่าตอบแทนสำหรับการอุ้มบุญที่เป็นมาตรฐาน โดยคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทุกด้านอย่างละเอียด และกำหนดให้มีการทำประกันชีวิต หรือประกันสุขภาพ ให้หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ, ควรให้สิทธิแก่หญิงที่รับอุ้มบุญในการยุติการตั้งครรภ์ รวมถึงควรให้สิทธิหญิงรับจ้างตั้งครรภ์มีโอกาสรู้จักบุคคลที่จ้างให้ตั้งครรภ์แทน และคุ้มครองสิทธิการได้มาซึ่งสัญชาติ
ขณะที่ น.ส.กฤตยา อาชวนิจกุล อาจารย์สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ควรยกเลิกกฎหมายอุ้มบุญที่เสนอไปแล้ว และกลับมาพิจารณาใหม่ ให้ครอบคลุมทุกประเด็นที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องร่างกายของผู้ที่รับอุ้มบุญแทน การกำหนดรายละเอียดของเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ รวมถึงใครที่เกี่ยวข้องในการอุ้มบุญบ้าง และ หน่วยงานใดควรรับผิดชอบ
“ปัญหาขณะนี้ซับซ้อนกว่าเรื่องการอุ้มบุญเพียงอย่างเดียว เพราะมีทั้งเรื่องการฉีดสเปิร์มเกินกำหนด เพื่อให้มีบุตรเกิน 1 คน เพื่อนำอวัยวะของบุตรคนถัดมา มาเป็นอวัยวะสำรองของบุรคนแรก หรือเรื่องของตัวอ่อน ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีช่วย ว่าควรได้รับการดูแลอย่างไร โดยควรหารือทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือแพทยสภา และ ผู้ที่อยู่ในกระบวนการอุ้มบุญก่อนหน้านี้ ว่าจะต้องเพิ่มอะไรบ้างเพื่อให้กฎหมายสมบูรณ์ และรัฐควรจัดสิทธิประโยชน์ในการตั้งครรภ์ให้กับแม่เด็กทุกคน เพื่อให้ประชากรไทยเกิดมาอย่างมีคุณภาพ” น.ส.กฤตยา กล่าว
ขณะที่ น.ส.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ตัวอย่างในหลายประเทศสะท้อนได้ดีว่า การใช้กฎหมายห้ามอุ้มบุญ ทั้งในประเทศออสเตรเลีย หรือในสหรัฐอเมริกา ทำให้ผู้ที่ต้องการอุ้มบุญ หันไปใช้บริการแพทย์และหญิงรับอุ้มบุญในประเทศอื่นแทน รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งหากกฎหมายฉบับนี้ออกมา ก็จะเป็นไปในแบบเดียวกัน ซึ่งอาจเกิดปัญหา สกัดขบวนการนี้ไม่ได้ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าควรให้ความรู้เรื่องสิทธิเพิ่มเติมกับพ่อ-แม่ รวมถึงผู้ที่รับอุ้มบุญว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรไม่ได้บ้าง เพราะหากไม่มีความรู้ กฎหมายที่ออกมาก็ไม่ได้มีความหมายอะไร


