‘เขมร-ลาว’แห่เรียนอาชีวะ

ปั้นทักษะเบียดตลาดช่างฝีมือคนไทยจี้แก้ปัญหานร.นักเลงทำแรงงานอาชีพลด

เปิดตัวเลขเด็กอาชีวะยุคใหม่ พบชนกลุ่มน้อยต่างสัญชาติ แห่เรียนในไทยต่อเนื่อง

นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีนักศึกษาต่างสัญชาติ เช่น กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนามชนกลุ่มน้อย รวมถึงเด็กในพื้นที่ราบสูง เช่น แม้ว หรือกะเหรี่ยง เข้ามาเรียนในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในปี 2557 อยู่ทั้งสิ้น 3,731 คน แบ่งเป็นระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) 2,627 คน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง 1,102 คน และระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ อีก 2 คน

ทั้งนี้ เนื่องจากอาชีวศึกษาไทยถูกมองว่ามีมาตรฐานสูง จึงมีเด็กต่างสัญชาติและครูอาชีวศึกษาเดินทางเข้ามาเรียนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเด็กต่างสัญชาติกลุ่มนี้เมื่อเรียนจบจะได้รับวุฒิ ปวช. ปวส.และสามารถเลือกทำงานในประเทศไทยได้ เพราะมีทักษะฝีมือเหมือนเด็กอาชีวศึกษาไทยทุกประการ ซึ่งจุดนี้สามารถรองรับการเคลื่อนย้ายแรงงานในอนาคตได้

นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศไทยกำลังใกล้เข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างชาติสมาชิกอย่างเสรี ตลอดจน สอศ.มีโครงการพัฒนาอาชีวศึกษาไทยให้เป็นศูนย์กลางของอาชีวศึกษาในภูมิภาค ซึ่งต้องรอเสนอ รมว.ศึกษาธิการต่อไป

ขณะที่ นายวีรศักดิ์ ลดาคม ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัญหานักเรียนตีกันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเรียนระดับ ปวช. ปวส.เข้าสู่ระบบงานสายอาชีพลดน้อยลง เนื่องจากผู้ปกครองหลายคนกังวลเรื่องความปลอดภัย ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับกระทรวงศึกษาธิการให้ปรับการเรียนการสอนแบบทวิภาคี โดยเด็กที่เรียนในระดับชั้นสายอาชีพจะได้ทำงานควบคู่กับการเรียนไปด้วย

นายวีรศักดิ์ กล่าวว่า ความต้องการฝีมือแรงงานในปัจจุบันมีสูงขึ้นมากในภาคอุสาหกรรมเกือบทุกสาขา อีกทั้งยังมีช่างฝีมือระดับ ปวช. และ ปวส.ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะช่างยานยนต์และช่างอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งที่จริงแล้วในภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงานระดับนี้กว่า 50% ยิ่งประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่อาเซียน หมายถึงจำนวนแรงงานช่างฝีมือยังคงมีความต้องการสูงขึ้นต่อเนื่อง

นางพรทิพย์ เย็นจะบก รองคณบดีฝ่ายวิจัย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหานักเรียนนักเลงส่งผลให้ผู้ปกครองไม่มั่นใจในความปลอดภัยของบุตรหลาน จึงหลีกเลี่ยงนำส่งเด็กเข้าศึกษาในสายวิชาชีพหรืออาชีวะ เนื่องจากกังวลจะได้รับผลกระทบจากเหตุตีกัน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งของจำนวนเด็กสายอาชีพลดน้อยลง ทั้งยังกระทบในภาคส่วนงานด้านสายอาชีพ