ยุติธรรมลำเค็ญ"บ้านกรุณา"ในยุควิกฤต
บ้านกรุณาวันนี้กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เรียกได้ว่าเข้าขั้นวิกฤต อันเนื่องมาจากขาดแคลนบุคลากร – อุปกรณ์การเรียน – สนามกีฬา
เรื่องและภาพ : อินทรชัย พาณิชกุล
นับตั้งแต่มีการลดจำนวนข้าราชการลงตามนโยบายควบคุมตำแหน่งข้าราชการพลเรือน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อปี 2543 ส่งผลให้หลายหน่วยงานประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากร โดยเฉพาะหน่วยงานที่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาปฏิบัติหน้าที่
หนึ่งในนั้นคือกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “ต้องการกำลังคน” มาทำหน้าที่ดูแลเยาวชนผู้กระทำผิด บำบัดเยียวยาให้พวกเขาเหล่านั้นกลับตัวกลับใจ เปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่ เพื่อให้ออกไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างภาคภูมิ โดยไม่กระทำผิดซ้ำอีก ภายใต้เป้าหมาย “คืนเด็กดีสู่สังคม”
“การขาดแคลนบุคลากร เป็นปัญหาเรื้อรังมานานกว่าสิบปีแล้ว ไม่ใช่เฉพาะบ้านกรุณาที่เดียวเท่านั้น แต่ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมดทั้งสถานพินิจทุกจังหวัด และศูนย์ฝึกอบรมอีก 17 แห่งทั่วประเทศ มีการทำเรื่องขออัตรากำลังไปทุกปีแต่ไม่เคยได้เลยแม้แต่คนเดียว”
คำบอกเล่าของ ชลลดา พรหมเดชไพบูลย์ ผู้พิพากษาสมทบศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี ในฐานะประธานมูลนิธิชลลดาที่ทำงานรณรงค์ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิดให้คืนสู่สังคมมาอย่างต่อเนื่อง
ยุคตกต่ำ “กรมพินิจ” วิกฤตขาดแคลนคน
ชลลดา อธิบายว่า “สถานพินิจ” หมายถึง สถานที่ควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด แต่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดี ส่วน “ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน” หมายถึง สถานที่ควบคุมดูแล บำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนผู้กระทำผิด ซึ่งศาลตัดสินคดีเป็นที่สิ้นสุดแล้ว
“ทุกวันนี้ทั่วโลกเลิกใช้คำว่า “คุกเด็ก”แล้ว เพราะเยาวชนทุกคนจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานเหมือนอยู่บ้าน ไม่ว่าจะเล่นกีฬา ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ สวมเสื้อผ้าสะอาด ติดต่อสื่อสารกับครอบครัวได้นอกจากนี้ยังได้รับการศึกษาเหมือนอยู่ในโรงเรียน อย่างไรก็ตามก็ยังต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันเคร่งครัดของศูนย์ฝึก ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมสหวิชาชีพ ประกอบด้วยนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา แพทย์ ครู ทุกคนปฏิบัติกับเด็กๆไม่ต่างอะไรจากพ่อแม่ญาติพี่น้อง”
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ตรงที่ “การบริหารจัดการ” หากอยู่ที่ “อัตรากำลังคน” เนื่องจาก “บ้านกรุณา”เป็นสถานที่แรกรับเด็กที่มาจากศาลเด็กและเยาวชนกลาง (กรุงเทพมหานคร) รวมถึงศาลเด็กและเยาวชนอีก 5 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก หรือที่เรียกกันว่า “เขต 10”
“เขต 10 แม้ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงยุติธรรมแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังไม่มีการก่อสร้างอาคารสถานที่ ไม่มีอัตรากำลัง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้กลายเป็นว่าโควต้าของเด็กทั้ง 5 จังหวัดที่ควรไปอยู่ที่เขต 10 เลยต้องมารวมกันอยู่ที่บ้านกรุณาที่เดียว และต้องดูแลไปจนกว่าเขต 10 จะได้รับงบประมาณก่อสร้างและจัดสรรเจ้าหน้าที่ กว่าจะเริ่มดำเนินการก็คงปี 2558 ”ประธานมูลนิธิชลลดา กล่าว
ชะตากรรมวันนี้ของ “บ้านกรุณา”
ยอดเด็กและเยาวชนภายในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา ณ วันที่ 28 ส.ค..ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 621 คน ถือเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่รองรับเด็กมากที่สุดแล้วในบรรดาศูนย์ฝึกอบรมทั้งหมด 18 แห่งประเทศ
เรื่องที่น่าตกใจก็คือมีบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ภายในบ้านกรุณาเพียง 92 คนเท่านั้น
“92 คนนี้ ประกอบด้วยข้าราชการเพียง 33 คน นอกนั้นเป็นพนักงานข้าราชการ ลูกจ้างชั่วคราว ทุกคนต้องทำมากกว่าหนึ่งหน้าที่ ทั้งงานเอกสาร งานอบรม ดูแลเด็ก ประสานผู้ปกครอง พนักงานเฝ้าจุดรักษาการณ์ และจิปาถะอื่นๆอีกร้อยแปดอย่าง เคยมีงานวิจัยออกมาว่าคนที่ทำงานในเรือนจำกับสถานพินิจเป็นอาชีพที่ไม่น่าอภิรมย์ที่สุดแล้ว เพราะงานหนัก เครียด แถมยังเสี่ยงอันตราย ไม่เคยเลิกงานตรงเวลา หลายครั้งยังต้องทำงานในวันหยุดอีก”ศักดิ์ชัย ค้ำชู ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา บอก
เขายืนยันว่าไม่เคยนิ่งเฉย ยื่นเรื่องขออัตรากำลังพลไปทุกปี แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ “ต้องบริหารจัดการให้ได้ตามกำลังที่มีอยู่” ทุกคนจึงก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แม้เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าแสนสาหัส
กระทั่งบางครั้งจำต้องใช้วิธี “เกลี่ย" เด็กและเยาวชนบางส่วนที่เข้ามาใหม่ทุกเดือนละไม่ต่ำกว่า 100 คน ไปยังศูนย์ฝึกอบรมใกล้เคียง แต่นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหา ซ้ำยังกลายเป็นภาระให้ที่อื่นด้วย
“การแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือ เราจะต้องมีบุคลากรที่สอดคล้องกับปริมาณของเด็ก เนื่องจากแผนบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดให้คืนสู่สังคมต้องใช้การดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง”
จารุณี แซ่ตั้ง นักจิตวิทยาประจำบ้านกรุณา ยอมรับว่าโปรแกรมแล้วบำบัด แก้ไข และฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดไม่อาจดำเนินการได้อย่างมีสิทธิภาพเต็มร้อย
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ขั้นแรกรับ ตามกฎหมายกำหนดไว้ว่าไม่เกิน 30 วัน เด็กจะต้องผ่านการจำแนก เพื่อจะได้จัดกิจกรรมบำบัดฟื้นฟูที่ตรงกับตัวเด็ก แต่ปัญหาคือมีนักจิตวิทยาแค่ 3 คน ต้องทำงานทั้งให้คำปรึกษาเด็กกว่า 600 คน ไม่รวมถึงเด็กพิเศษที่ต้องได้รับการดูแลเป็นการเฉพาะ เช่น เด็กที่ติดยาเสพติด เด็กที่มีปัญหาทางจิต เด็กก้าวร้าวรุนแรง ถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นการจะจำแนกเด็กตั้งแต่แรกเข้า ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนมากมาย เช่น การทดสอบทางจิตวิทยา ต้องคุยกับเด็กเป็นรายตัว เดือนนึงเด็กเข้ามาไม่ต่ำกว่า 100 ราย การจะวิเคราะห์เชิงลึกจึงทำได้ไม่เต็มที่นัก เพราะเวลาไม่พอ”
พูดง่ายๆ บุคลากรอันน้อยนิดที่ต้องทำหน้าที่ตั้งแต่จำแนกคัดกรอง วางแผนบำบัดฟื้นฟู เตรียมพร้อมก่อนออก จนถึงติดตามประเมินผลเด็กนับร้อยๆคนที่มีปัญหาแตกต่างกันสุดขั้ว มาตรฐานเรื่องคุณภาพอาจลดน้อยถอยลงอย่างมิอาจปฏิเสธได้
ภูชิต ดวงจันทร์ นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ บ้านกรุณา บอกว่า ที่นี่มักใช้วิธี “บูรณาการ” คนไหนไม่อยู่ คนที่เหลือต้องเข้าไปอุดช่องว่างทันที
“ผมว่าถ้าได้บุคลากรเพิ่มมาอย่างเดียวไม่พอ คุณภาพก็สำคัญ งานนี้ต้องทำด้วยใจจริงๆ คนไม่มีใจมาทำมันไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องคนได้ ขอให้มีใจอยากมาทำ มีความอดทน เข้าใจเด็กแค่นั้น เรื่องวิชาการมันเทรนกันทีหลังได้ครับ”
ตำแหน่งสำคัญที่สุดของศูนย์ฝึกอบรม หนีไม่พ้น “พ่อบ้าน” ผู้ทำหน้าที่ไม่ต่างอะไรจากตัวแทนของพ่อแม่เด็ก ก็ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญที่ขาดแคลนมากที่สุด
“พ่อบ้านเป็นหน้าที่ที่เหนื่อยที่สุดและสำคัญที่สุด ต้องใกล้ชิดเด็ก ต้องทำความรู้จักนิสัยใจคอเด็กทุกคน ให้คำปรึกษาปัญหาสารพัด คอยดูแลตั้งแต่เสื้อผ้า อาหารการกิน ไปจนถึงเรื่องอื่นๆในชีวิตประจำวัน บ้านกรุณามีทั้งหมด 6 หอนอน หอละประมาณ 120 คน มีพ่อบ้านคอยดูแลประจำหอละ 2 คน เด็กจะทำผิดกฎระเบียบ ก่อเหตุทะเลาะวิวาท จลาจล หรือหลบหนี พ่อบ้านต้องคอยสังเกตเฝ้าระวังไม่ให้เกิดขึ้น ปัจจุบันตำแหน่งไม่พอ บางทีก็ต้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานพินิจซึ่งมีหน้าที่เฝ้าเวรยามให้มาทำด้วยอีกแรง เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ แต่บางทีก็อยากใช้เวลาส่วนตัวเวลากับครอบครัวบ้าง”ประพัฒน์ สุขทรงศิลป์ ผู้ทำหน้าที่พ่อบ้านมานานกว่า 5 ปี กล่าว
คืนความสุขให้น้องๆ
ยามบ่ายอันร้อนอบอ้าว ลมพัดเอื่อยเฉื่อย เด็กชายในชุดเสื้อคอกลมสีขาวกางเกงสีดำ อันเป็นยุนิฟอร์มชุดเก่งของบ้านกรุณา นั่งจับกลุ่มพูดคุยกระจัดกระจายอยู่ตามใต้ร่มไม้ ตามม้านั่ง
ไม่ใช่นั่งทอดอารมณ์พักผ่อนหย่อนใจ แต่เหตุผลน่าสลดหดหู่ก็คือ การเรียนการสอนหยุดชะงักกะทันหัน เนื่องจากขาดแคลนครู จะเล่นกีฬาก็เล่นไม่ได้ เพราะพื้นที่สนามมีไม่เพียงพอต่อจำนวนคน
“ที่นี่เปิดสอนวิชาชีพทั้งหมด 11 วิชา ประกอบด้วยช่างตัดเย็บ ศิลปหัตถกรรม ไฟฟ้า ดนตรีไทย ดนตรีสากล พลศึกษา ช่างยนต์ ช่างเชื่อม เกษตร คอมพิวเตอร์ และวิชาสามัญ แต่มีครูแค่วิชาละ 1 คนเท่านั้น เมื่อครูขาดแคลน โอกาสในการซักถามโต้ตอบก็ตัดไปเลย บางวันครูลากิจติดธุระ หรือป่วย เด็กก็ “ลอย”เลย ไม่มีอะไรทำ ปัญหาอีกอย่างคืออุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาให้เด็กทำทีละคน ทำเสร็จก็ถอดออก เด็กอีกคนก็ประกอบใหม่ การเรียนการสอนมันเลยขาดความต่อเนื่อง”ผอ.ศักดิ์ชัย เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ล่าสุด
เบิ้ม วัย 14 ปี เด็กชายบ้านกรุณา เปิดเผยว่าตัวเองเลือกเรียนวิชาช่างไม้ แต่ด้วยความที่หน่วยมีเด็ก 100 คนต่อครู 1 คน การเรียนจึงเป็นไปอย่างติดๆขัดๆ
“แค่เช็คชื่อก็กินเวลาไปครึ่งชั่วโมงแล้ว บางทีสอนไปได้ครึ่งทางแล้วพอเด็กใหม่มาก็ต้องมาเริ่มใหม่ เวลาเด็กเยอะ บางทีก็คุยเสียงดัง ไม่ใช่ครูไม่ใส่ใจนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ วิธีแก้คือก็ต้องเอาแต่เด็กที่ตั้งใจจริงๆ ที่สำคัญคืออุปกรณ์ไม่พอ อย่างงานปูน กว่าจะทำเสร็จต้องรอให้แห้ง ครูตรวจเสร็จก็ให้ละลายน้ำแกะออก เด็กอีกคนก็มาทำต่อ กว่าจะครบทุกคนก็ 3 วัน ยังไม่ทันรู้เรื่องดีก็จบคอร์สแล้ว”
สนามกีฬาก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ของบ้านกรุณา เด็กกว่า 600 ชีวิต แต่มีสนามฟุตบอลและสนามฟุตซอลแค่อย่างละสนาม เช่นเดียวกับตะกร้อ และแบดมินตัน
“ฟุตซอลเล่นได้ทีมละ 5 คน ยิงลูกเดียวออก สมมติว่าผมอยู่ทีมที่ 20 ถามว่าวันนี้จะได้เล่นไหม วัยรุ่นเป็นวัยที่ต้องออกกำลัง ถ้าไม่มีพื้นที่ให้รีแลกซ์ก็เครียดนะ ก็ต้องไปนั่งคุยนั่งมั่วสุม ยิ่งเสาร์อาทิตย์ไม่มีเรียน ว่างมาก พอไม่มีอะไรทำ ก็เสียเวลาไปเปล่าๆเลย” มอส วัย 14 เยาวชนบ้านกรุณา บอก
กานต์ วัย 14 เยาวชนอีกราย เล่าว่าเขาอยากเล่นดนตรี แต่เครื่องดนตรีสากลที่มีอยู่มีเพียงชุดเดียวเท่านั้นก็ต้องอดไป อยากจะอ่านหนังสือ ห้องสมุดก็แสนจะคับแคบ
“ไม่มีอะไรทำก็หลับ บางคนก็นั่งคุยนั่นคุยนี่ การที่ไม่มีกิจกรรมสันทนาการให้ทำมีส่วนให้เด็กๆมั่วสุมกัน อาจก่อเหตุทะเลาะวิวาท หรือหาทางหลบหนีก็ได้ ใครจะไปรู้”
เด็กๆทั้งสามคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ว่าจะดุ หรือใจดีไม่สำคัญ ขอใครก็ได้ ให้มีครูสอนเป็นพอ เพราะพวกเขาอยากเรียน อยากเล่นกีฬา เหมือนกับวัยรุ่นปกติทั่วไป นี่คือความปรารถนาง่ายๆที่จะพาพวกเขาให้ผ่านพ้นแต่ละวันไปได้อย่างมีความสุข
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกรุณา สะท้อนถึงวิกฤติครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นในกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก กระทรวงยุติธรรม
หากยังมองไม่เห็น ไม่เข้าใจ และไม่คิดลงมือจัดการแก้ไขปัญหา ความหวังที่อยากจะเปลี่ยนแปลง “เยาวชนผู้หลงผิด” ให้กลายเป็น “เด็กดี”คืนสู่สังคม ก็คงไม่ต่างอะไรจากความฝันลมๆแล้งๆที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง


