เค้ก "น้ำมัน-ก๊าซ"เขมร วัดฝีมือรัฐบาลประยุทธ์
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาบริหารประเทศแบบไร้วาระซ่อนเร้น จะต้องเคลียร์ผลประโยชน์ที่ทับซ้อนซ่อนเงื่อนให้หนัก
โดย...ทีมข่าวเศรษฐกิจภาครัฐโพสต์ทูเดย์
ปฏิบัติการเยือนกัมพูชาแบบสายฟ้าแลบของ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ พร้อมคณะทหาร ข้าราชการระดับสูง เพื่อหารือด้านการทหาร ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ถือเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองถึงการเดินเกมของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์”
ทางหนึ่ง นี่เป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากได้รับการโปรดเกล้าฯ
การเลือกกระชับความสัมพันธ์กับกัมพูชาเป็นประเทศแรก จึงมีความหมายในตัวมันเอง อย่างน้อยที่สุดก็เป็นสัญญาณว่า ความสัมพันธ์ที่เคยจืดจางระหว่างไทย-กัมพูชา จะลดดีกรีความรุนแรงตามแนวชายแดนลงมา
ทางหนึ่ง นี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า ความร่วมมือทางการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจที่เคยถูกเก็บใส่ลิ้นชักมาระยะหนึ่ง ได้ถูกยกขึ้นมาเจรจากันบนโต๊ะระหว่างรัฐบาลอีกครั้ง
ยิ่งหากพิจารณาถึงคณะผู้แทนไทยที่เดินทางไปเยือนตามคำเชิญของ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา จะเห็นชัดถึงความสำคัญและเรื่องราวของการเจรจา
คณะทหาร ประกอบด้วย พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และว่าที่ ผบ.ทบ. พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล เสนาธิการทหาร พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม
คณะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ประกอบด้วย สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวง ดำรง ใคร่ครวญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก เสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารนิเทศ
คณะข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย คุรุจิต นาครทรรพ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ไปในฐานะรักษาการปลัดกระทรวงพลังงาน ดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
แม้ พล.อ.ธนะศักดิ์ จะชี้แจงว่า การเยือนกัมพูชาครั้งนี้ได้มีการหารือเกี่ยวกับการเสริมสร้างความมั่นคง การแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน การค้าการลงทุน และด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ
แต่ข้อมูลสำคัญที่เล็ดลอดออกมาในการพูดคุยครั้งนี้คือ ได้มีการเจรจากันถึงความร่วมมือในทุกๆ มิติ ทั้งการค้า คมนาคม ด้านการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งจะมีการร่วมมือกันด้านพลังงาน การขุดก๊าซปิโตรเลียม และด้านการลงทุนไฟฟ้า
ถึงขนาดที่ ฮุนเซน ให้คำมั่นสัญญาว่า “เรื่องใดที่เป็นปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา จะวางไว้และจะใช้วิธีพัฒนาร่วมกัน ให้ทุกหน่วยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดน”
นี่อาจจะเป็นสัญญาทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญที่จะนำไปสู่การเจรจากัน เพื่อพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหลังจากไทยและกัมพูชาได้มีการเจรจาและดำเนินการตาม MOU 2544 ตั้งแต่หลังการลงนามรับรองเมื่อปี 2544 แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตกลงหาข้อสรุปใดๆ ได้
โดยเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2552 คณะรัฐมนตรี รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU 2544 และให้นำเรื่องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ เนื่องจากการที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจาภายใต้ MOU 2544
เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องโดยตรงในการผลักดันให้จัดทำ MOU 2544 และ รับรู้ท่าทีในการเจรจาของฝ่ายไทย รัฐบาลไทยจึงไม่อาจดำเนินการเจรจาภายใต้ MOU 2544 ได้
ต่อมารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ยกเลิก MOU 2544 และยังจะเร่งเจรจากับกัมพูชาเพื่อร่วมกันพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนดังกล่าว และประกาศว่าจะมีการเร่งรัดการเจรจาเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลให้เสร็จโดยเร็ว แต่ทุกอย่างก็ถูกเก็บใส่ลิ้นชักเมื่อมีเสียงเคลือบแคลงจากประชาชน
ว่ากันว่า พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา 2.64 หมื่นตารางกิโลเมตร มีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมหาศาล ขนาดมีคำยืนยันจากเชฟรอน ว่าพื้นที่แหล่งนี้มีศักยภาพดีที่สุดในภูมิภาค และมีเสียงเล็ดลอดออกมาว่า นักการเมืองใหญ่ของไทยพร้อมที่จะใช้นอมินีเข้าไปมีส่วนแบ่งในสัมปทาน โดยมีการคาดคะเนว่าจะมีแหล่งน้ำมันดิบสำรองเป็น อันดับ 3 ของภูมิภาคนี้
ขณะที่ข้อมูลของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ระบุว่า ประเทศไทยได้ให้สัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตกับบริษัทเอกชนที่สนใจไปแล้วตั้งแต่ปี 2546 จนกระทั่งถึงปัจจุบันมีผู้ได้รับสัมปทานไปแล้ว 4 กลุ่ม ได้แก่ บริษัท Thailand Bloc 5&6LLC ในแปลงสัมปทานที่ 5-6, บริษัท บริติช แก๊ส เอเชีย อิงค์ ในแปลงสัมปทานที่ 7-8-9 บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต ในแปลงสัมปทานที่ 10-11-13 และพื้นที่ 12 (A) 12 (B) และบริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่นแนล ในแปลงสัมปทาน G9/43
ส่วนกัมพูชา ได้ให้บริษัท เชฟรอน โอเวอร์ซีส์ ปิโตรเลียม แคมโบเดีย ลิมิเต็ด จากสหรัฐ สัมปทานแปลง A และบริษัท โททาล ออยล์ จากฝรั่งเศส เป็นผู้สัมปทานขุดเจาะบล็อก 3 ล่าสุด บริษัท เอ็มโอ อีซีโอ จากญี่ปุ่น สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่บล็อก 4 ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนเหมือนกัน
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชาซึ่งมีขนาดประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตรนั้น ได้รับการประเมินว่ามีก๊าซธรรมชาติคิดเป็นมูลค่า 3.5 ล้านล้านบาท และน้ำมันมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท
ขณะที่แหล่งข่าวในแวดวงพลังงานของไทยที่เกาะติดเรื่องนี้ เปิดเผยว่า หากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สามารถเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่ไหล่ทวีปที่ ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชาสำเร็จ ประเทศไทยจะมีความมั่นคงทางด้านพลังงานต่อไปอีกยาวนาน
เนื่องจากข้อมูลขององค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชาที่ได้ว่าจ้างทีมผู้เชี่ยวชาญทำการสำรวจและขุดเจาะและพัฒนาทรัพยากรจากแหล่งพลังงานในพื้นที่ใกล้เคียงกับบริเวณพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่าง ไทย-กัมพูชา เป็นจำนวน 10 หลุม พบว่าบริเวณไหล่ทวีปของกัมพูชามีปริมาณก๊าซธรรมชาติกว่า 4 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต และพบว่าจะมีน้ำมันกว่า 200 ล้านบาร์เรล
ขณะที่บริเวณไหล่ทวีปฝั่งไทยก็มีการสำรวจและขุดเจาะ พบว่ามีปริมาณก๊าซธรรมชาติและน้ำมันกว่า 7 แสนล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ข้อมูลรายงานของบริษัท เชฟรอนฯ ที่ทำไว้เมื่อปี 2548 พบว่าได้มีการค้นพบบ่อน้ำมันและก๊าซขนาดใหญ่ในพื้นที่ 2,427 ตารางกิโลเมตร ทางตอนใต้ของกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่สัมปทานแปลง A เนื้อที่ 6,278 ตารางกิโลเมตร ซึ่งคาดว่าจะมีน้ำมันสำรองถึง 700 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติอีก 3-5 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร
ขณะที่ธนาคารโลก ประเมินว่า แหล่งพลังงานในบริเวณไหล่ทวีปกัมพูชา-ไทย น่าจะมีน้ำมันมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติอีก 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
การยกพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลออกมาเจรจากันบนโต๊ะของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศไทยไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องฝ่าด่านการเจรจาอีกหลายขั้นตอน
เนื่องจากในห้วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในปี 2544 ได้มีการลงนาม MOU 2544 ไว้ เพื่อแบ่งเขตสำหรับทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจ จำเพาะในพื้นที่ซึ่งอยู่เหนือเส้นละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จนถึงเส้นที่กัมพูชาอ้าง และส่วนที่อยู่ใต้เส้นนี้ลงไปก็ให้ทำเป็นเขตพัฒนาร่วม
ต่อมามีการเปิดเผยโดยวิกิลีกส์ว่า รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มีการตกลงทางลับ ไม่นานนักก่อนรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะถูกรัฐประหาร ว่าจะแบ่งรายได้ในพื้นที่ใกล้ไทยมากที่สุด สัดส่วนที่ไทยจะได้ 80% กัมพูชา 20% ส่วนพื้นที่ตรงกลางจะแบ่งผลประโยชน์ 50-50 และแบ่งผลประโยชน์ให้ไทย 20 กัมพูชา 80 สำหรับพื้นที่ใกล้ฝั่งกัมพูชา
ดังนั้น รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาบริหารประเทศแบบไร้วาระซ่อนเร้น จะต้องเคลียร์ผลประโยชน์ที่ทับซ้อนซ่อนเงื่อนให้หนัก
ถ้าทำได้รับไปเลย 10 คะแนนเต็ม


