ล้างวงการสงฆ์ดันกม.ฟันพระตุ๊ด-อวดอุตริ
ผ่านการเห็นชอบไปแล้วอย่างรวดเร็ว สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ...
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
ผ่านการเห็นชอบไปแล้วอย่างรวดเร็ว สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ. ... หลังจากค้างอยู่ในกระบวนการออกกฎหมายมานานกว่า 5-6 ปี จนมาถึงยุคหลังรัฐประหาร ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จึงได้ยกร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เข้าฟาสต์แทร็กเสนอ คสช. และผ่านการพิจารณาเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา
ร่างกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการเรียกคืนศรัทธาให้กับสถาบันศาสนา สอดคล้องกับปฏิกิริยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาพระสงฆ์ผิดพระธรรมวินัย อีกทั้งตั้งคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางพระพุทธศาสนา ซึ่งมี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช. เป็นประธาน ไปเมื่อเร็วๆ นี้
โพสต์ทูเดย์รวบรวมบางส่วนที่น่าสนใจของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มานำเสนอ ก่อนที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการออกเป็นกฎหมายและบังคับใช้ต่อไป
เริ่มจากมาตรา 5 ระบุให้รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนาในรูปแบบต่างๆ รวมถึง “จัดให้มีการสอดส่องดูแลและปกป้องกิจการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มิให้มีการกระทำ ละเมิด ดูหมิ่น เหยียดหยาม ทำลาย ลอกเลียน ดัดแปลง หรือทำให้วิปริตผิดเพี้ยนไป”
มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการเรียกว่า “คณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ที่ได้รับมอบหมายเป็นประธาน โดยมีคณะกรรมการ อาทิ พระสงฆ์ ตัวแทนมหาเถรสมาคม 3 รูป อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ เป็นคณะกรรมการ และให้ผู้อำนวยการ พศ. เป็นกรรมการและเลขานุการ ทำหน้าที่เช่น กำหนดนโยบาย รวมถึงออกระเบียบเกี่ยวกับการรับเงิน จ่ายเงิน การเก็บรักษา และให้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัด โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดให้ตั้งสำนักงานคณะกรรมการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาฯ ขึ้นมาเพิ่มเติมอีกแห่ง เพื่อดำเนินงานด้านธุรการให้กับคณะกรรมการ และยังให้ตั้งกองทุนอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นมาอีก 1 กองทุน โดยมีคณะกรรมการกองทุนซึ่งมีสัดส่วนจากผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วม อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการระบุกรอบการใช้เงินจากกองทุนชัดเจน
น่าสนใจว่ารูปแบบการบริหารจัดการใหม่นี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจาก พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งให้อำนาจคณะสงฆ์ปกครองกันเองผ่านคณะกรรมการใหญ่สุดคือมหาเถรสมาคม รองลงไปที่ระดับเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ แต่ครั้งนี้มีคณะกรรมการอุปถัมภ์ฯ เป็นผู้ดูแลเพิ่มเติม
“พระวินธิยาการ” หรือตำรวจพระ ยังมีบทบาทชัดเจนภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยให้อำนาจตรวจตรา ชี้แจง แนะนำพระภิกษุให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย รวมถึงนำพระภิกษุที่ฝ่าฝืนมอบให้เจ้าอาวาส เจ้าคณะ และผู้ปกครองในเขตพิจารณา รวมถึงช่วยเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะผู้ปกครองในเขตสอบสวน และยังให้มี “พนักงานเจ้าหน้าที่” ทำหน้าที่ในแบบเดียวกัน โดยให้อำนาจเป็น “เจ้าพนักงาน” ตามกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดโทษทางวินัยในรูปแบบโทษทางอาญาชัดเจน ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการเสพเมถุน การอวดอุตริ การครอบครองสื่อลามก เรื่อยไปจนถึงการเบี่ยงเบนทางเพศ
โดยเนื้อหาสำคัญ ได้แก่ มาตรา 30 ระบุว่า พระภิกษุใดทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ทำการเสพเมถุนหรือกล่าวอวดอุตริมนุสธรรม ต้องระวางโทษจำคุก 1-7 ปี ปรับตั้งแต่ 2,000–1.4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ใดที่ร่วมกระทำผิดหรือสนับสนุนการกระทำให้รับโทษเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ หากครอบครองสื่อลามกอนาจาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท
มาตรา 32 ผู้ใดกระทำให้หลักศาสนธรรมผิดเพี้ยนไปจากพระไตรปิฎก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 17 ปี หรือปรับตั้งแต่ 7,000–1.4 หมื่นบาท หากพระภิกษุสามเณรดื่มสุรา เสพยาเสพติด จนไม่สามารถครองสติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนข้อที่ถกเถียงกันก่อนหน้านี้ในการปกครองพระสงฆ์ อย่างโทษกรณีเพิกเฉยหากพระภิกษุทำผิดพระธรรมวินัย ครั้งนี้ก็มีระบุในมาตรา 36 ชัดเจนว่า “พระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ใด มีหน้าที่ปกครองและสอดส่องดูแลให้บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ที่มีอยู่หรือพำนักอาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับหรือระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการปกครองและสอดส่องดูแล เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 37 ระบุว่า พระภิกษุสามเณรใดทำการเรี่ยไรโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งผู้ที่ร่วมกระทำผิด ผู้สนับสนุน ต้องระวางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในบทบัญญัตินั้นๆ 1 ใน 3 และมาตรา 38 มีเนื้อหาว่า ผู้ใดประกอบการค้าสัญลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลใดๆ อันเป็นที่เคารพทางพระพุทธศาสนา ไม่ดำเนินการจัดวางไว้ในสถานที่ที่เหมาะสม ทำให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 39 พระภิกษุใดที่มีหน้าที่บรรพชาอุปสมบท จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำการบรรพชาให้กับบุคคลที่ต้องห้ามทางพระพุทธศาสนา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ประเด็นการป้องกันบุคคล “เบี่ยงเบนทางเพศ” ยังถูกบรรจุไว้ในกฎหมายครั้งแรกผ่านมาตรา 40 ความว่า หากพระภิกษุใดบรรพชาหรืออุปสมบทให้ผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 41 หากพระภิกษุหรือสามเณรใดที่มีพฤติการณ์เบี่ยงเบนทางเพศ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท
ส่วนมาตราสุดท้าย มาตรา 42 เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่มีการระบุว่า พระภิกษุ สามเณรใด ขัดคำสั่งผู้ปกครองคณะสงฆ์ที่สั่งให้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่งมหาเถรสมาคม พระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช หรือข้อบังคับใดๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตลอดระยะเวลา 6-7 ปีที่ผ่านมา พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นกฎหมายฉบับเรียกแขก ที่เรียกได้ว่าเสนอเข้าสภาเมื่อไร ต้องมีม็อบพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนรวมตัวต่อต้านเมื่อนั้น น่าติดตามว่าในยุคที่ทหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จ กฎหมายฉบับนี้จะสามารถผ่านเข้าสู่การพิจารณาได้อย่างสะดวกโยธินหรือไม่


