posttoday

อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ

24 สิงหาคม 2557

บัดนี้จักแสดงพระพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ซึ่งแปลว่า

บัดนี้จักแสดงพระพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ซึ่งแปลว่า พระพุทธเจ้าพระองค์เป็นดังนายสารถีทรมานซึ่งบุรุษ ไม่มีนายสารถีอื่นจะยิ่งกว่า

พระพุทธคุณบทนี้ในที่บางแห่งท่านแยกออกจากกันเป็น 2 บท คือ อนุตฺตโร บทหนึ่ง ปุริสทมฺมสารถิ บทหนึ่ง อนุตฺตโร นั้น แปลว่า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ คือพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ประเสริฐสูงสุด ไม่มีผู้จะเสมอพระองค์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ถึงแม้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี พระอริยสาวกเจ้าทั้งหลายก็ดี ก็ไม่มีใครเสมอเท่าเทียมกับพระองค์ ถึงจะมีก็มีต่างๆ กัน แต่จะให้เสมอเหมือนกับพระองค์นั้นไม่ได้

เหมือนอย่างสิ่งของของเราที่มีอยู่ เช่น ถ้วยโถโอชาม เป็นต้น ก็ย่อมมีต่างๆ กัน จะให้เหมือนกันทีเดียวนั้นไม่ได้ แม้ถึงยศถาบรรดาศักดิ์ที่พวกเรามีอยู่ ก็ยังมีอาการต่างกันในทางยศ ถึงจะเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ความมั่งมีก็ต่างกัน แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว และสั่งสอนพระสาวกให้ตรัสรู้ตาม ความตรัสรู้ของสาวกทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่เหมือนพระองค์ได้

พระองค์จึงทรงพระนามว่า อนุตฺตโร ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีบุคคลอื่นจะยิ่งกว่า

ส่วน ปุริสทมฺมสารถิ นั้น แปลว่า พระองค์เป็นดังนายสารถีสำหรับทรมานซึ่งบุรุษ การทรมานต่างๆ มีการทรมานช้างม้าและสัตว์พาหนะต่างๆ ของพระเจ้าแผ่นดินเป็นต้นนั้น เขาย่อมฝึกหัดและทรมานกันด้วยไม้ค้อนและท่อนไม้ ซึ่งเป็นเครื่องประหัตประหารต่างๆ เมื่อฝึกหัดทรมานได้ดีแล้ว ย่อมนำไปใช้ในกิจการงานต่างๆ ได้ตามความประสงค์ของตน แต่การฝึกหัดทรมานเช่นนี้ย่อมเป็นของที่ไม่ยั่งยืนแน่นอน เพราะบางคราวอาจกลับมีพยศอีกได้

อีกอย่างหนึ่ง การฝึกหัดทรมานเช่นนี้ เมื่อฝึกหัดทรมานได้ดีแล้ว ย่อมใช้ได้อย่างเดียว หรือใช้ได้เป็นอย่างๆ เช่น จะไปไหนๆ ก็ได้ แต่เพียงตรงไปตรงมาเท่านั้น ส่วนการฝึกหัดการทรมานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เมื่อพระองค์ฝึกหัดทรมานได้ดีแล้ว จะไปมาทางใดๆ ก็ได้ทั้ง 8 ทิศ ในที่นั่งอันเดียว และไม่มีอาการที่จะกลับคืนเป็นผู้มีพยศอีกได้ ไม่เหมือนอย่างการฝึกหัดทรมานช้างม้าและสัตว์พาหนะทั้งหลายเหล่านั้น ก็อาการที่พระองค์ทรงฝึกหัดนั้นคือทำอย่างไร? พวกเราควรให้เข้าใจ

อาการที่พวกเราถูกฝึกหัดและถูกทรมานของพระองค์นั้น ก็คือ การรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 เหล่านี้ ได้ชื่อว่าพวกเราได้รับการฝึกหัดได้รับการทรมานของพระองค์แล้ว แต่อาการที่จะเป็นผู้รับฝึกหัดรับทรมานด้วยดีนั้น คือมีศีลไม่กลับ เรียกว่ารับฝึกหัดรับทรมานด้วยดีแล้ว อาการที่ยังมีศีลกลับไปกลับมาอยู่ คือ บางคราวก็ประพฤติดี บางคราวก็ประพฤติชั่วอยู่

เช่นนี้ เรียกว่ารับการฝึกหัดรับการทรมานยังไม่ดี

การที่พระองค์ฝึกหัดและทรมานสัตว์นั้นย่อมเป็นไปตามนิสสัยของบุคคล ถ้าสัตว์ยังเป็นผู้มีนิสสัยหยาบ พระองค์ก็ทรงแสดงโทษแห่งการประพฤติกายทุจริตและวจีทุจริต ว่าผู้ที่ประพฤติกายทุจจริตมีการฆ่าสัตว์เป็นต้น ย่อมได้รับทุกข์รับโทษทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ในชาตินี้ก็จักเป็นผู้ประกอบด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นคนยากจนเข็ญใจอนาถา หาที่พึ่งอาศัยมิได้โดยประการต่างๆ และผู้ที่ประพฤติวจีทุจริตมีการกล่าวมุสาวาท เป็นต้น ในชาตินี้ก็จักเป็นผู้ไม่มีใครนับหน้าถือตามีวาจาก็จักไม่ศักดิ์สิทธิ์ จะพูดเช่นไรก็ไม่มีใครเขาเชื่อถือ มีแต่ผู้หัวเราะเยาะเย้ยโดยประการต่างๆ นี้เป็นโทษซึ่งมีในชาตินี้ และเมื่อในชาตินี้มีโทษเช่นใด ในชาติหน้าก็มีโทษเช่นนั้น

นี้เป็นโอวาทที่พระองค์ทรงยกขึ้นสั่งสอนคนที่มีนิสสัยหยาบ

ถ้าบุคคลที่มีนิสสัยละเอียด ชอบวาจาที่อ่อนหวานเยือกเย็น พระองค์ก็ทรงสั่งสอนให้รู้จักในคุณแห่งการประพฤติสุจริตทั้ง 3 ประการ คือ กายวาจาใจว่ามีคุณอย่างนี้ๆ ผู้ที่ประพฤติสุจริตทั้งกายวาจาใจแล้ว ในโลกนี้ก็จักมีความสุขความสำราญ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความยากจนเข็ญใจอนาถา มีแต่คนนับหน้าถือตา มีวาจาก็ศักดิ์สิทธิ์ จะพูดเช่นไรก็มีคนเชื่อถ้อยฟังคำเคารพนับถือ

โอวาทเช่นนี้พระองค์ทรงยกขึ้นสั่งสอนผู้ที่มีนิสสัยละเอียด

ผู้ที่ชอบวาจาเยือกเย็นอ่อนหวาน แต่ถ้าบุคคลผู้ที่ชอบทั้งสองอย่าง พระองค์ก็ทรงยกมาสั่งสอนแม้ทั้งสองอย่าง ถ้าบุคคลผู้เป็นคนชั้นสูง พระองค์ก็ทรงสั่งสอนให้สูงขึ้นไป

ถ้าบุคคลชั้นสูงแต่มีนิสสัยหยาบ พระองค์ก็ทรงยกพระไตรลักษณ์มาสั่งสอน ทรงแสดงให้เห็นความเป็นไปของสภาพตามความเป็นจริงว่า แต่เด็กแต่เล็กเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อเติบโตมาแล้วเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เมื่อแก่เฒ่าแล้วเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น บางคราวเราก็เบียดเบียนเขา บางคราวเขาก็เบียดเบียนเรา ยุ่งเหยิงกันอยู่อย่างนี้ ล้วนเป็นเรื่องของทุกข์ทั้งนั้น ถ้าทุกข์เหล่านี้เป็นก้อนหรือเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ก็อาจจักเก็บรวบรวมไว้ได้หลายกระบุงหลายตะกร้าทีเดียว ตัวของเรานี้ล้วนแต่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น

โอวาทเช่นนี้พระองค์ทรงยกขึ้นสั่งสอนคนชั้นสูงที่มีนิสสัยหยาบ

ส่วนธรรมที่ละเอียดลุ่มลึกพระองค์ก็ทรงยกขึ้นสั่งสอนมากโดยอเนกปริยายทีเดียว เช่น พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนทางมรรคผลนิพพาน และทรงแนะนำสั่งสอนในสัมมาวายามะ คือ ปธานทั้ง 4 และทรงแนะนำสั่งสอนให้กำจัดนิวรณ์ทั้ง 5 ไม่ให้มาปิดบังจิตของตนได้ เมื่อกำจัดนิวรณ์เสียได้แล้วก็จักรู้เห็นของจริง ของจริงที่เราจะรู้เห็นได้ก็ด้วยอาศัยใจที่บริสุทธิ์ ที่พระองค์ทรงแนะนำสั่งสอนเช่นนี้เป็นคำสอนอย่างละเอียด

สำหรับผู้ที่ได้รับฝึกหัดได้รับทรมานแล้วไม่ต้องกลับมาอีกนั้นจัดเป็นชั้นสูง ผู้ที่ได้รับฝึกหัดทรมานแล้วยังกลับได้อีกจัดเป็นชั้นต่ำ ผู้ที่รักษาศีล 5 ศีล 8 ยังกลับได้อีกนั้นก็ยังมีอยู่บ้าง แต่มีโดยส่วนน้อย สำหรับบุคคลผู้ที่ประพฤติปฏิบัติได้ในชั้นใด ก็อาจเห็นผลได้ในชั้นนั้น เป็นประจักษ์พยานปรากฏอยู่ทุกเมื่อ ผู้ที่ประพฤติสุจริตธรรมแล้ว ย่อมได้รับความสุขกายสบายใจตลอดกาลเป็นนิตย์ ที่จะคิดกลับประพฤติการทุจริตอีกนั้นยาก เพราะการประพฤติทุจริตเป็นกิจที่เดือดร้อนโดยประการต่างๆ

เหมือนอย่างเราทั้งหลายที่นั่งประชุมกันอยู่ในที่นี้ ต่างว่าจะมีการทะเลาะกันเกิดชกมวยต่อยกันขึ้นในกลางประชุมนี้ ก็จะพาให้พวกเราซึ่งอยู่ในที่นี้เกิดความเดือดร้อนทั่วกันไปหมด นี่ก็เพราะโทษแห่งการประพฤติทุจริต ยกมาแสดงเป็นตัวอย่างแต่เพียงเล็กน้อย โดยที่สุดแม้แต่เราคิดอิสสา พยาบาท หรือคิดปองร้ายคนโน้นคนนี้ เพียงแต่เราคิดอยู่ในใจเท่านี้ ก็ให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตัวเราและคนอื่นพอแล้ว การที่คนคิดอิสสา พยาบาท เข้าไปนั่งใกล้ใครหรืออยู่ใกล้ใคร กลิ่นไอของความชั่วย่อมเข้าไปแผดเผาผู้อื่นให้เดือดร้อนไปตามๆ กัน ความชั่วนี้มีแสงมาก

ความชั่วมีแสงฉันใด ความดีก็มีแสงฉันนั้น

แสงแห่งความดีนั้นทำให้คนที่อยู่ใกล้กัดรัดเรียง เช่น บิดามารดาลูกเต้าหลานเหลน เป็นต้น เกิดความสุขความสำราญเยือกเย็นไปตามๆ กัน

ความชั่วและความดีย่อมมีผลด้วยกันทั้งสองอย่าง ทุจริตและสุจริตย่อมมีผลด้วยกันทั้งนั้น แต่ผลนั้นตรงกันข้ามไม่เหมือนกัน อุบายเช่นนี้พระองค์ทรงสั่งสอนให้คนละอิสสา พยาบาท แล้วให้มีเมตตา กรุณา ในกันและกัน เมื่อผลนั้นปรากฏขึ้นแก่เราเช่นนี้ เราก็จักประพฤติมั่นในสุจริตธรรม ไม่กลับคืนประพฤติทุจริตได้อีก บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอจลศรัทธา คือเป็นผู้ที่มีศรัทธาอันไม่หวั่นไหวโยกโคลง ตกลงสู่ฝั่งแห่งมรรคผลนิพพานซึ่งเรียกว่า โสตะ คือเป็นผู้ตกลงสู่กระแสธรรม บุคคลผู้นั้นย่อมเห็นสภาพทั้งหลายตามความเป็นจริงทุกอย่าง บุคคลผู้ที่ตกลงสู่กระแสธรรมเช่นนี้แล้ว ไม่มีเวลาที่จะกลับไปทำความชั่วได้อีก เพราะเหตุนั้น

เมื่อเราต้องการประพฤติตนให้เป็นคนถูกต้องตามพระพุทธคุณบทว่า อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ ซึ่งแปลว่า พระองค์เป็นดังนายสารถีทรมานซึ่งบุรุษ ไม่มีนายสารถีอื่นจะยิ่งกว่า อันนี้เป็นคำที่ท่านกล่าวรวมไว้เป็นบทเดียวกัน เมื่อเรารู้จักพระคุณของท่านโดยชัดเจนเช่นนี้แล้ว จงตรวจดูตัวของเราว่า เราเป็นผู้ได้รับความฝึกหัดได้รับความทรมานซึ่งเกี่ยวกับพระคุณบทนี้หรือยัง? เหมือนอย่างที่เรารักษาศีล 5 ศีล 8 เป็นต้น เช่นนี้ก็ได้ชื่อว่าเราได้รับความฝึกหัดได้รับความทรมานของพระองค์แล้วในชั้นนั้นๆ ธรรมทั้งหลายย่อมมีอาการรวมอยู่ที่ตัวของเราทั้งนั้น เช่น สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อัฏฐังคิกมรรคทั้ง 8 ประการ

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ย่อมชี้ลงที่ตัวของเราทั้งนั้น ไม่ได้ชี้ในที่อื่น

เมื่อเรารู้เห็นเช่นนี้แล้ว ศรัทธาของเราก็จะได้ชื่อว่าเป็นของแน่นอน ไม่มีอาการหวั่นไหวโยกโคลงเป็นอจลศรัทธา และจะตัดเสียซึ่งโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ ความเดือดร้อนต่างๆ ได้

เพราะเหตุนั้น เมื่อสาธุชนพุทธบริษัทผู้ที่มุ่งจะถึงพระพุทธคุณบทนี้แล้ว ก็พึงประพฤติปฏิบัติตามนัยที่แสดงมาแล้วนั้น ก็จักสำเร็จดังมโนรถ ความมุ่งมาดปรารถนาในสิ่งซึ่งไม่เหลือวิสัยทุกประการ ดังแสดงมาด้วยประการฉะนี้

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เชลซี พบ เอฟเวอร์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68