posttoday

บิ๊กตู่นั่งนายกฯ ควบ คสช. อำนาจลันฟ้าแต่เสี่ยงสูง

21 สิงหาคม 2557

การก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของประเทศไทย ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

การก้าวขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของประเทศไทย ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และผู้บัญชาการทหารบก นั้นเป็นก้าวย่างที่นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นทั้งหัวหน้า คสช.และเป็นนายกรัฐมนตรีเอง ซึ่งจะเป็นการคุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จทั้งบริหารและความมั่นคง

ทั้งนี้ การรัฐประหาร 4 ครั้งหลังสุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2519 วันที่ 20 ต.ค. 2520 ของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน วันที่ 23 ก.พ. 2534 ของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) และรัฐประหาร วันที่ 19 ก.ย. 2549 ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ผู้นำรัฐประหาร ไม่เคยรับตำแหน่งนายกฯ ด้วยตัวเอง หากแต่ให้ “พลเรือน” หรือผู้ที่มีบารมีมากกว่าเป็นผู้นำและเขยิบตัวเองขึ้นเป็น “เปลือกหอย” ครอบงำการทำงานของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิดแทน

ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกการรัฐประหารเหล่านี้อย่างไร แต่ในมุมมองของหัวหน้าคณะรัฐประหาร คำว่า “หน่อมแน้ม” และ “เสียของ” ที่ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ย่อมตกอยู่ที่ผู้นำรัฐประหารอันเป็นรัฏฐาธิปัตย์ผู้ครองอำนาจสูงสุดเสมอ โดยเฉพาะครั้งหลังสุด พล.อ.สนธิถึงกับยอมรับหลายครั้งหลังพ้นจากอำนาจ ว่าการรัฐประหารของเขาล้มเหลวที่ไม่สามารถแก้ความขัดแย้งได้

จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่น่าจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ซึ่งนั่งเป็น สนช.อยู่ด้วยเมื่อปี 2549 จำขึ้นใจว่า หากตัวเขาเองมีเหตุจำเป็นต้องขึ้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์ต้องมีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือ ก็ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคุมอำนาจเหล่านี้ด้วยตัวเอง รวมถึงต้องเลือกเฉพาะบุคคลรอบกายที่ไว้ใจได้เท่านั้น ขึ้นมาเป็นทีมงานในการขับเคลื่อนรัฐนาวาในห้วงเวลาเฉพาะกิจ

ท่ามกลางสภาวะที่คนไทยเรียกหาอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและคาดหวังในการกำจัดนักการเมืองสกปรก รวมถึงไม่อยากเห็นภาพหลังการรัฐประหารที่ล้มเหลวอีก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางนายกฯ ด้วยตัวเอง รวมถึงให้อำนาจหัวหน้า คสช. ผ่านรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ไว้อย่างล้นมือ อยู่เหนือทั้งคณะรัฐมนตรี อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ อันเป็นอำนาจลักษณะเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเคยมีอยู่ในมือ

อำนาจลักษณะนี้อาจจะสะใจกองเชียร์ที่มีเสียงดังล้นหลามในขณะนี้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง ย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะหลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นถนนทุกสายย่อมมุ่งไปสู่ พล.อ.ประยุทธ์เพียงคนเดียว และ พล.อ.ประยุทธ์เองก็คงรู้ดีว่าบั้นปลายชีวิตทางการเมืองของจอมพลสฤษดิ์และจอมพลถนอมนั้นจบไม่สวยเท่าไรนัก

ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตือนไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นคนเดียวกัน นั่นคือถึงเวลานับถอยหลังของคณะทหารชุดนี้ เพราะอำนาจตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 19 ระบุว่า หัวหน้า คสช.สามารถเสนอให้ สนช.ปลดนายกฯ ได้ทันที เมื่อกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีเหตุอันควรให้พ้นจากตำแหน่ง

แต่เมื่อนายกฯ และหัวหน้า คสช.เป็นคนเดียวกัน ช่องทางตามรัฐธรรมนูญตามมาตรานี้ก็ย่อมหายไป เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้า คสช.ย่อมไม่มีทางปลด พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นนายกฯ ขณะเดียวกันอำนาจของหัวหน้า คสช.ก็ล้นฟ้าอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมาคร่อมเก้าอี้รับตำแหน่งนายกฯ อีกตำแหน่ง

ไชยันต์เสนอว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์จะรับตำแหน่งนายกฯ ก็ควรเสนอให้คนอื่น เช่น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. และว่าที่ผู้บัญชาการทหารบกเป็นหัวหน้า คสช. แทน เพื่อที่อำนาจของหัวหน้า คสช. และนายกฯ จะไม่ทับซ้อนกัน ขณะเดียวกันก็ยังมีช่องทางให้หัวหน้า คสช. ปลดนายกฯ หากการบริหารงานไม่ได้เป็นไปตามที่มุ่งหวัง

ก่อนหน้านี้ ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็คัดค้านการเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 19 ว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างหัวหน้า คสช.และนายกฯ และมาตรา 44 ซึ่งให้อำนาจของหัวหน้า คสช.ทุกด้าน และให้หัวหน้า คสช.รายงานประธาน สนช. และนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ซึ่งเมื่อทั้งหัวหน้า คสช.และนายกฯ เป็นคนเดียวกัน อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ก็อาจเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นเดียวกัน

เป็นคำเตือนที่น่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง เพราะในทางการเมืองมาตรวัดคะแนนนิยมนั้นสามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ซึ่งขณะนี้ความไม่พอใจก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ทั้งจากมวลชนคนเสื้อแดงเดิมที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจจากเกษตรกร โดยเฉพาะชาวสวนยางพารา ที่ราคาขณะนี้ลดต่ำลงอย่างหนัก และจากมวลชนกลุ่มปฏิรูปพลังงาน ที่เห็นว่า คสช.แต่งตั้งอดีตนายทุนฝ่ายตรงข้ามเข้ามาทำหน้าที่ปฏิรูปพลังงานโดยไร้สัดส่วนภาคประชาชน

ยิ่ง คสช.ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีฝ่ายค้านหรือองค์กรอิสระไว้ตรวจสอบการทำหน้าที่และยังใช้กฎอัยการศึกเพื่อไม่ให้กลุ่มที่คัดค้านชุมนุมเคลื่อนไหวยิ่งเป็นอันตราย ความไม่พอใจสามารถสะสมได้มากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ย่อมกลายเป็นเป้าเพียงคนเดียวที่อาจถูกโจมตี โดยที่กฎอัยการศึกไม่สามารถคุ้มกันได้อีกต่อไป

แต่ในเมื่อเลือกเดินเส้นทางนี้แล้ว รัฐนาวา คสช.ก็ต้องเดินหน้าต่อไป โดยมีเดิมพันสูงที่สุดคือการปฏิรูปโครงสร้างการเมืองและด้านอื่นๆ ให้สำเร็จ โดยต้องไม่ลืมว่า ระหว่างทางปฏิรูปนั้น อำนาจเบ็ดเสร็จสามารถเพิ่มความเสี่ยงและแรงต้านให้สามารถปะทุได้ทุกเมื่อ

ข่าวล่าสุด

นายกฯอนุทินหาทางช่วยคนไทยตกค้างกัมพูชากลับประเทศปลอดภัย