ส่องวิถีกระสุนจับโจรด้วยฟิสิกส์
พวกเราพร้อมรับกับความกดดัน แต่งานพิสูจน์หลักฐานเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ผมไม่ท้อครับ ถ้าท้อแล้วใครจะทำ ต้องสู้แม้จะถูกสังคมกดดัน เหนื่อยก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็ลุยกันต่อ สักวันความจริงก็ต้องปรากฏ
พวกเราพร้อมรับกับความกดดัน แต่งานพิสูจน์หลักฐานเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ผมไม่ท้อครับ ถ้าท้อแล้วใครจะทำ ต้องสู้แม้จะถูกสังคมกดดัน เหนื่อยก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็ลุยกันต่อ สักวันความจริงก็ต้องปรากฏ
โดย...วัสยศ งามขำ
ถึงแม้ว่าเสียงระเบิดที่ดังสลับกับการลั่นกระสุนสงครามตอบโต้กันระหว่างทหารกับกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่แฝงตัวอยู่ในมวลชนคนเสื้อแดงจะเงียบหายไปแล้ว แต่เสียงที่ยังตามติดมากลับกลายเป็นเสียงของความกังวลและกังขาถึงทิศทาง และที่มาของมวลหมู่กระสุนที่สาดใส่กันทั้งสองฝั่ง สิ่งหนึ่งที่น่าจะคลี่คลายได้ดีคงไม่พ้นการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์
และนี่กระมังที่ทำให้ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (พฐ.) ยังคงก้มหน้าจดจ่ออยู่กับปริศนาที่หลายคนอยากได้คำตอบ
พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ ยาคุ้มภัย สารวัตรหน่วยตรวจสอบวิถีกระสุน เป็นหนึ่งในตำรวจเหล่านั้น ด้วยประสบการยาวนานกว่า 13 ปี ขลุกตัวเองอยู่กับการตรวจสอบลูกกระสุนปืน ระเบิด และวิถีทางของลูกกระสุนหลังลั่นไก จึงไม่แปลกเลยที่เขาถูกยกให้เป็นมือดีคนหนึ่งของการไขปริศนาของกระสุนปืน เพื่อหาหลักฐานไปสนับสนุนฝ่ายสืบสวน
ที่สำคัญหลังเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองครั้งนี้ ทำให้เขาต้องแบกรับภาระการแกะรอยทิศทางระเบิดยอดฮิต เอ็ม 79 ผ่านไปแล้วถึง 20 ลูก และมีแนวโน้มว่ามันจะมาสู่มือเขาอีกในไม่นานนี้
ตำรวจอย่าง กิตติศักดิ์ และเพื่อนร่วมงานของเขา ต่างจากตำรวจทั่วไปที่เราอาจพบเห็นยามเข้าระงับเหตุ หรือไม่ก็กระโจนใส่คนร้าย พวกเขาไม่ได้จบจากรั้วสามพราน หรือถูกเทรนมาเพื่อเข้าปะทะกับเหตุไม่คาดฝัน ส่วนใหญ่แล้วตำรวจที่มาทำงานที่ พฐ. จะมีดีกรีคุณวุฒิด้านวิทยาศาสตร์ ที่เน้นหนักไปทางฟิสิกส์ งานของพวกเขาส่วนใหญ่จึงอยู่ในห้องแล็บ ในขณะที่ช่วงหนึ่งของการทำงานก็เสี่ยงไม่น้อย เพราะต้องลงพื้นที่เพื่อเก็บหลักฐานและสำรวจพื้นที่จริง เพื่อไขปริศนาของกระสุนมรณะ
ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาการทำงานของ กิตติศักดิ์ และตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ต้องอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า “งานเข้า” เพราะได้ส่งทีมงานลงพื้นที่ เพื่อตรวจหาวิถีกระสุนของลูกปืนหลากชนิดที่ดังระงมทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงเสียงตึงตังไม่พึงประสงค์จากลูกระเบิด เอ็ม 79 และแบบใกล้เคียงอีกนับร้อย นั่งจึงทำให้เขาถึงกับต้องบอกว่า การทำงานในตอนนี้แตกต่างกับการทำงานงานในสถานการณ์ทั่วไปอย่างมากทีเดียว
“การทำงานบางครั้ง พวกเราต้องทำงานกันเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกันแบบลวกๆ เราทำกันแบบเก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุด ไวที่สุด และรอบคอบที่สุดด้วย มันแตกต่างกับงานอาชญากรรมแบบปกติโดยสิ้นเชิง” กิตติศักดิ์ บอกย้อนหลังถึงการทำงานในสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ในช่วงที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงเริ่มงวดจากการปฏิบัติการเข้มของรัฐ
เขาเล่าว่า ถึงแม้ว่าตอนนี้การชุมนุมจะหยุดลง และเสียงกระสุนปืนรวมทั้งเสียงระเบิดจะเงียบลงไปแล้ว แต่บรรยากาศก็ยังไม่ดีขึ้น การทำงานขณะลงพื้นที่เก็บหลักฐานต่างๆ เพื่อนำมาวิเคราะห์วิถีกระสุน ยังไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของทีมงานได้ อย่างคดีที่ไปตรวจหาวิถีกระสุน เอ็ม 79 ที่ยิงถล่ม สน.ลุมพินี พอก้าวออกจากพื้นที่ไม่ถึง 15 นาที ก็มีการยิง เอ็ม 79 ซ้ำเข้าไปที่จุดเดิมอีก 5 ลูก หากเก็บหลักฐานช้ากว่านั้นคงสูญเสียแน่นอน
“ผมคิดว่าการทำงานของเรา (พฐ.) ตอนนี้ เหมือนเป็นชุดล่อเป้า เพราะไม่รู้ว่าขณะที่ออกมาตรวจนั้นจะมีการยิงถล่มกันซ้ำหรือไม่ ไม่ใช่แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบริเวณม็อบเท่านั้น อนาคตอาจจะเกิดขึ้นที่จุดไหนในกรุงเทพฯ อีกก็ได้ สถานการณ์ในขณะนี้เข้าขั้นวิกฤตถึงแม้จะยังไม่เหมือนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่พวกเราก็ต้องระวังตัวกันมากขึ้น”
สารวัตรกิตติศักดิ์ ยอมรับว่า เมื่อการทำงานเป็นเช่นนั้นจึงกระทบต่องานพอสมควร เวลาทำงานถูกสถานการณ์บีบเร่งรัดอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบันจึงเพิ่มเจ้าหน้าที่ในทีมจากปกติ 3 คน เป็น 4 คน เพื่อลดเวลา และไม่ให้พลาดหลักฐานต่างๆ ก่อนนำกลับไปวิเคราะห์ในแล็บ
ก่อนลงพื้นที่ทุกครั้ง กิตติศักดิ์ บอกว่าจะต้องรวมหัวกับลูกทีมโดยเฉพาะเมื่อได้รับแจ้งว่ามีการยิงระเบิดมรณะ เอ็ม 79 ลำดับแรกต้องประชุมกันก่อนเพื่อตีโจทย์ให้แตกว่าต้องทำอะไรบ้าง ทั้งหมดนี้หัวหน้าทีมจะเป็นคนกำหนดและสั่งการ ไม่ใช่นำพาทีมลงพื้นที่แล้วยืนเฉยๆ อยู่ในพื้นที่นานนับ 10 นาที โดยไม่ทำอะไร เพราะ 10 นาที ก็หมายถึงชีวิตของทีมงานทุกคนที่อาจจะตกเป็นเหยื่อบึ้มซ้ำได้
ลำดับต่อไปเมื่อไปถึงพื้นที่แล้ว หัวหน้าทีมจะเข้าไปในพื้นที่ก่อน เพื่อกำหนดจุดในการทำงาน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เช่น ถ่ายภาพ จดข้อมูล วัดระยะทิศทางของกระสุน จะลงพื้นที่หาวิถีกระสุนโดยใช้เครื่องมือเฉพาะด้านที่เรียกว่า Bullet Hole Testing Kit โดยอุปกรณ์เหล่านี้ ประกอบด้วย สารเคมีที่ใช้ตรวจสอบว่าร่องรอยที่พบเกิดขึ้นเกิดจากกระสุนปืนหรือไม่ และอุปกรณ์การตรวจหาแนววิถีกระสุน อาทิ เครื่องวัดองศา เครื่องตรวจโลหะ แท่งเหล็ก เชือก และเลเซอร์
“เราจะใช้แท่งเหล็กหลายสีเสียบต่อกันเป็นเครื่องหมายบอกแนววิถีกระสุน อย่างที่เราอาจจะเคยเห็นกันในภาพข่าว ที่มีหลายสีเพราะบางกรณีตรวจพบวิถีกระสุนหลายแนว หรือในบางครั้งเราจะใช้เลเซอร์ในการคำนวณทิศทางที่มาของกระสุนในกรณีที่เป็นวิถีระยะไกล” กิตติศักดิ์ กล่าวถึงการทำงานในการหาวิถีกระสุน แต่ในกรณีที่เป็น เอ็ม 79 เขาบอกเลยว่า มันไม่เหมือนวิถีกระสุนทั่วไปมันถูกยิงเป็นวิถีโค้ง การตรวจหาวิถีกระสุนของ เอ็ม 79 จึงอาจจะบอกได้ชัดเจนถึงขนาดว่ายิงมาจากจุดไหน แต่บอกได้เป็น Zone Area รัศมีการยิงและทิศทาง
กิตติศักดิ์ ยอมรับว่า การทำงานกดดันมาก เนื่องจากคดีมีผลกระทบต่อคนจำนวนมากการหาข้อเท็จจริงจึงต้องเที่ยงธรรม ถูกต้อง รอบคอบและถี่ถ้วน บางคนอาจมองว่าตำรวจในรูปแบบของนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ทำงานเสี่ยง แต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้ง เราก็พยายามรีบออกไปดูพื้นที่ให้เร็วที่สุด
“พวกเราพร้อมรับกับความกดดัน แต่งานพิสูจน์หลักฐานเป็นงานที่ต้องใช้เวลา ผมไม่ท้อครับ ถ้าท้อแล้วใครจะทำ ต้องสู้แม้จะถูกสังคมกดดัน เหนื่อยก็นั่งพัก หายเหนื่อยแล้วก็ลุยกันต่อ สักวันความจริงก็ต้องปรากฏ เพราะทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น” กิตติศักดิ์ พูดด้วยท่าทียิ้มแย้ม
ขณะที่ พ.ต.อ.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รองผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐานกลาง บอกถึงการตรวจสอบหาวิถีกระสุนในภาพรวมว่า เป็นการทำงานที่ยากและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เท่านั้น หลายคดีตำรวจจับคนร้ายได้เพราะการตรวจหาวิถีกระสุน
สำหรับขั้นตอนการตรวจวิถีกระสุนมี 3 ขั้น ประกอบด้วย ขั้นแรกจะต้องดูก่อนว่าร่องรอยลูกกระสุนปืนนั้นเป็นร่องรอยที่เกิดจากกระสุนปืนหรือไม่ เพราะมีหลายร่องรอยที่อาจจะคล้ายกับกระสุน แต่ใอาจจะเกิดจากอาวุธประเภทอื่น เช่น ลูกแก้ว เป็นต้น ขั้นตอนนี้สามารถตรวจสอบได้ด้วยสารเคมี
หากตรวจสอบว่าเป็นกระสุนจริงเจ้าหน้าที่ถึงจะดำเนินการขั้นต่อไป คือการพิจารณาชนิด ขนาด ของลูกกระสุนว่าเป็นกระสุนปืนชนิดและขนาดใด ในขั้นตอนนี้สามารถดูได้ด้วยตาและความเชี่ยวชาญในเบื้องต้น แต่ก็ต้องตรวจสอบยืนยันความชัดเจนอีกครั้งในห้องแล็บ และขั้นตอนสุดท้าย คือการหาทิศทางของลูกกระสุนว่ายิงมาจากทิศทางใด และนี่คือจุดสิ้นสุดของการตรวจสอบของ “ตำรวจวิทยาศาสตร์”
********************
ระวังจะทำลายหลักฐาน
ในสถานที่เกิดเหตุจะมีหลักฐานของคนร้ายอยู่ดังนั้นคนที่ไม่เกี่ยวต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
1.อย่าเดินเข้าไปในพื้นที่นั้นโดยเด็ดขาด เพราะคุณอาจจะทำลายหลักฐาน หรือทำให้หลักฐานปนเปื้อนโดยที่คุณไม่รู้ตัว
2.ห้ามเคลื่อนย้ายสิ่งของ หรือจับต้องวัตถุอื่นใดในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะร่องรอยการยิงด้วยกระสุนปืน
3.เตือนและห้ามคนอื่นไม่ให้กระทำการกับที่เกิดเหตุตาม 2 ข้อข้างต้น เป็นไปได้ให้หาเชือกมาล้อมที่เกิดเหตุไว้
4.รีบแจ้งตำรวจท้องที่ให้เร็วที่สุด


