"สังคมเปลี่ยนได้ถ้าทุกคนไม่อยู่เฉย"Change.org
ยุคออนไลน์ ใครๆก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ โดยไม่ต้องชูป้ายประท้วงกลางถนน
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนต้องการจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น มักใช้วิธีเรียกร้องด้วยการจัดตั้งม็อบ ชูป้ายประท้วง หรือไม่ก็ตั้งโต๊ะเชิญชวนให้คนมาร่วมลงชื่อ เพื่อยกระดับเป็นประเด็นสาธารณะ โดยหวังให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองรับทราบปัญหาและเข้ามาแก้ไขอย่างเร่งด่วน
วันนี้ ความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อของเว็บไซต์ Change.org ซึ่งมีฐานผู้ใช้มากกว่า 75 ล้านคนทั่วโลก ได้พลิกโฉมช่องทางการรณรงค์แบบใหม่ที่สะดวกรวดเร็ว ทรงพลัง แถมยังสอดคล้องกับยุคสังคมออนไลน์เป็นอย่างยิ่ง
วริศรา ศรเพชร ผู้อำนวยการด้านการรณรงค์ Change.org ประเทศไทย เผยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้ง change.org ประเทศไทย เมื่อปี 2555 ปัจจุบันมีฐานผู้ใช้มากกว่า 1.4 ล้านคน มีการสร้างเรื่องรณรงค์ถึง 50 เรื่องต่อสัปดาห์
เรียกว่าอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
"Change.org สร้างขึ้นเพื่อให้คนธรรมดาๆ สามารถเริ่มการรณรงค์ได้เอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามที่เค้าคิดว่าสำคัญ แล้วชวนเพื่อนและคนที่เห็นเหมือนกันมาร่วมผลักดันการรณรงค์ ด้วยการลงชื่อ แชร์ผ่านโซเชียลมีเดียให้กระจายต่อๆ ไป โดยไม่ต้องรอให้มีองค์กรอะไรมาหนุน การระดมความคิดเห็นเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆผ่านช่องทางออนไลน์ จะส่งเสียงให้หน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องได้ยิน และมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างทันท่วงที"
วิธีการมีส่วนร่วมง่ายๆ นั่นคือ ผู้ที่ต้องการรณรงค์เรื่องใด สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.change.org/th แล้วสร้างแคมเปญรณรงค์ของตัวเอง พร้อมเสนอไอเดีย จุดมุ่งหมาย กระตุ้นโน้มน้าวให้ผู้คนเห็นถึงความสำคัญของปัญหาดังกล่าว พร้อมเชิญชวนคนอื่นๆ เข้ามาร่วมลงชื่อสนับสนุนการรณรงค์
ขณะเดียวกัน ผู้สร้างแคมเปญรณรงค์ส่วนใหญ่เป็นคนโนเนม ไม่ได้มีชื่อเสียงยศฐาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งใหญ่โตโอฬาร นั่นหมายความว่าการตัดสินใจของผู้ที่จะมาเข้าร่วม วัดกันที่ความคิดการนำเสนอที่สร้างสรรค์และน่าสนใจล้วนๆ
"การทำงานของ Change.org คือการเปิดโอกาสให้คนธรรมดาๆ ได้เล่าเรื่อง เล่าปัญหาให้โลกได้รับรู้ แล้วหาทางแก้ไข แทนที่จะนั่งกลุ้มหรือโมโหอยู่ในห้องนอนคนเดียวก็มาสร้างแคมเปญ ซึ่งเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ บน platform ก็สร้างไว้เพื่อคอยสนับสนุนให้แคมเปญได้รับการพูดถึง หรือได้รับชัยชนะ เช่น ทุกครั้งที่มีคนเซ็น คนที่เราเรียกร้องด้วยหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจก็จะได้รับอีเมล์ (ถ้าเราใส่อีเมล์คนผู้นั้นลงไปด้วย) บางทีได้รับเป็นหมื่นจนคนที่มีอำนาจตัดสินใจไม่สามารถเพิกเฉยได้ หรือในบางกรณีอาจไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เป็นปัญหา ก็ถือว่าเป็นการช่วยกันให้ความรู้ ทำให้ประเด็นต่างๆ ได้รับความสนใจ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น"
ผอ.ด้านการรณรงค์ Change.org ประเทศไทย ตอบคำถามที่ว่าจำนวนผู้ลงชื่อเข้าร่วมสนับสนุนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด
"การลงชื่อจะจำนวนเท่าไหร่ก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัว ถ้าได้ชื่อมากๆ ก็แปลว่าแคมเปญกระจายตัวไปในวงกว้าง มีคนพูดถึงเยอะ ทำให้ความกดดันต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจมีมากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นแคมเปญเกี่ยวกับอะไรและใครเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ
การลงชื่ออย่างเดียวก็อาจจะมีผลมากในบางกรณี แต่มีผลน้อยในบางกรณี ทำให้ต้องใช้วิธีการอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การใช้ social media ทำให้เรื่องต่างๆ กลายเป็นประเด็นร้อน มีการแสดงแนวร่วมออนไลน์ การสื่อสารกับผู้มีอำนาจตัดสินใจอย่างเปิดเผย หรือการทำงานร่วมกับสื่อ การหาคนมีชื่อเสียงหรือคนที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจต้องฟังมาเป็นแนวร่วม รวมถึงการจัดงานอีเว้นท์ต่างๆ"
ตัวอย่างแคมเปญรณรงค์ในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จจนทำให้ Change.org เป็นที่รู้จักในวงกว้าง มีดังนี้
หยุดขายปลานกแก้ว สร้างโดย Reef Guardian Thailand เรียกร้องให้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำหยุดขายปลานกแก้วเพื่อการบริโภค เนื่องจากปลาชนิดนี้มีบทบาทอย่างสูงในการช่วยรักษาระบบนิเวศน์ของปะการัง มีผู้ลงชื่อทั้งหมด 23,139 คน
ผลคือ ห้างเทสโก โลตัส แมคโคร เซ็นทรัล เดอะมอลล์ และวิลล่า มาร์เก็ต ประกาศหยุดขายเนื้อปลานกแก้วแล้ว
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดตั้งศูนย์ติดตามคนหายของภาครัฐ โดย เพทาย กันนิยม เรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดตั้งศูนย์ติดตามคนหายขึ้นมาให้เป็นรูปธรรมสำหรับใช้ติดตามเด็กและคนที่หายออกจากบ้าน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยกรณีของเด็กหลายคนที่ถูกลักพาตัวและฆาตกรรมหลายราย ยอดผู้ลงชื่อ 30,904 คน
ผลคือ พล.ต.อ. จรัมพร สุระมณี ตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับปากว่าจะดำเนินการเรื่องของการจัดตั้งศูนย์ติดตามคนหายในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นทันที พร้อมทั้งมีคำสั่งให้เจ้าหน้าตำรวจทุกหน่วยต้องรับแจ้งและติดตามหาเด็กหายหรือคนหายโดยไม่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง และยังจะเปิดสายด่วน 1599 เพื่อใช้เป็นสายด่วนสำหรับแจ้งและติดตามคนหาย รวมถึงจัดทำ application "missing person" เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลคนหาย ให้เข้าถึงประชาชนมากขึ้นอีกด้วย
หยุดโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ โดย สมิทธ์ ตุงคะสมิต เรียกร้องให้ รัฐบาลทบทวนโครงการเขื่อนแม่วงก์ที่ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA ยอดผู้ลงชื่อ 124,532 คน
ผลคือ พลังประชาชนกว่านับแสนคนร่วมลงชื่อสนับสนุน จนเกิดกิจกรรมการเดิน-ยื่น-หยุด เขื่อนแม่วงก์ ส่งผลให้มีการชะลอโครงการก่อสร้างออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการปกป้องต้นไม้เก่าแก่อายุร้อยปี ทวงคืนพิพิธภัณฑ์เด็กกทม. ยกเลิกจัดสอบ U-NET เปลี่ยนฝาท่อเพื่อคนปั่นจักรยาน จัดระเบียบการฉายหนังเนื้อหาไม่เหมาะสมบนรถทัวร์ หยุดขายหูฉลาม เป็นต้น
วริศรา ทิ้งท้ายว่าอยากเห็นคนไทยใช้โซเชียลมีเดียให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากที่สุด
"ประเทศไทยตอนนี้ตื่นตัวกันมากเรื่องการใช้โซเชียลมีเดีย แสดงความคิดเห็นเรื่องฮอตๆทั้งหลาย พลังเยอะมาก คนที่แต่ก่อนอาจจะสนใจแต่เรื่องใกล้ตัวมากๆ อย่างใช้แชมพูอะไรดี กินข้าวร้านไหน ตอนนี้ก็มาพูดเรื่องการเมือง สังคม อย่างเปิดเผย ซึ่งในแง่ของประชาธิปไตยทางสื่อก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ตอนนี้ทำยังไงให้พลังงานที่เกิดขึ้นตรงนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคมแทนที่จะทะเลาะกันไปให้เหนื่อยเปล่า
การแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าอยู่เงียบๆ ยอมๆ ไป
"มันต้องเริ่มจากมีเรื่องที่จะเล่า สื่อสารออกไปแล้วถึงมีแนวร่วมมากขึ้นๆ ทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจต้องฟังเสียงประชาชนมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิด action ขึ้นมา ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะมีแต่คนมีเงินหรือมีอำนาจเท่านั้นที่จะสามารถพูดอะไรได้เสียงดัง แต่ตอนนี้ประชาชนสามารถใช้โซเชียลมีเดียรวมกลุ่มกันได้ เราอยากเห็นคนมาสร้างแคมเปญเอง คิดยุทธศาสตร์เอง เผยแพร่เอง และทำทุกอย่างเองจนแคมเปญได้รับชัยชนะ คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นงั้นได้จะน่าตื่นเต้นขนาดไหน"
ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ที่เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤตในทุกด้าน ถึงเวลาหรือยังที่ทุกคนจะช่วยกันเสนอความคิดดีๆ และสนับสนุน เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ทำให้สังคมไทยน่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม


