posttoday

มัจฉริยะ

27 กรกฎาคม 2557

ได้ยินว่า มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อโกสิยเศรษฐี เป็นชาวนิคมสักกระ ใกล้กับกรุงราชคฤห์

ได้ยินว่า มีเศรษฐีคนหนึ่ง ชื่อโกสิยเศรษฐี เป็นชาวนิคมสักกระ ใกล้กับกรุงราชคฤห์ เขามีทรัพย์มหาศาล เป็นโกฏิๆ แต่ว่าเป็นคนตระหนี่มาก

ความตระหนี่ถี่เหนียวของเขานี้มีคนพูดกันว่า ไม่ยอมให้อะไรเลย แม้แต่น้ำมันที่หยดจากปลายหญ้าก็ไม่ให้

พูดถึงเงินทองอย่าไปหวังว่าเขาจะยอมควัก สิ่งดีๆ อื่นไม่ต้องพูดถึง แม้กับคนที่เป็นที่รักเช่นบุตรและภรรยาก็ไม่ให้

ความขี้เหนียวอย่างเขา ถ้าเป็นในสมัยนี้คงไม่มีใครอยากได้มาเป็นสามี เพราะอะไรหรือ...

เพราะแค่ขนมเบื้องอันเดียวลูกเมียยังไม่ให้กิน ไม่รู้แต่งงานไปได้ยังไง

คือ วันหนึ่งเศรษฐีได้เข้าไปเฝ้าพระราชาที่แคว้นมคธ ระหว่างเดินทางกลับเขาเห็นหนุ่มบ้านนอกคนหนึ่งกินขนมเบื้อง เลยอยากกินขึ้นมาอย่างแรง

กลับมาถึงบ้านความอยากกินขนมก็ไม่หาย แต่ก็ไม่กล้าบอกเมีย กลัวว่าจะเสียเงินไปซื้อ เปลืองทั้งงา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อย ในการทำขนม

ผ่านไปหลายวันความอยากไม่เคยลด เขายังอยากกินขนมเบื้อง แต่ก็ยังไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวเสียเงิน ทำให้ร่างกายผ่ายผอมลงไป หลายวันๆ จนมีเส้นเอ็นปรากฏให้เห็น

เมื่อภรรยาเห็นความผิดปกติของสามีแล้วก็จึงเข้าไปลูบหลัง แล้วก็ถามว่า ท่านพี่เป็นทุกข์เพราะเหตุไร เพราะพระราชาหรือ หรือท่านไม่พอใจดิฉันกับลูก

ภรรยาถามก็ไม่ตอบ เพราะว่ากลัวเสียเงิน ได้แต่นอนเงียบ จนภรรยาถามอีกว่า หรือท่านอยากกินอะไร เศรษฐีก็หลุดคำออกมาอยากกินขนมเบื้อง

พอภรรยาได้ยินแค่นั้นก็เอ่ยขึ้นว่า เรื่องแค่นี้เองทำไมไม่บอก ท่านก็ไม่ใช่คนจน ฐานะอย่างเราจะทอดขนมเลี้ยงคนทั้งนิคมก็ยังได้

โกสิยเศรษฐีสวนขึ้น เรื่องอะไรที่เราจะไปเลี้ยงคนพวกนั้น

ภรรยาบอก งั้นก็ทอดให้พอกินในเรือนก็แล้วกัน

โกสิยเศรษฐีสวนกลับ ไม่ได้ มันเปลือง ทำไมต้องไปแบ่งคนใช้กินให้เปลืองด้วย

“งั้นเราทอดแบ่งกินเฉพาะพ่อแม่ลูกได้ไหมพี่” ภรรยาให้ความเห็น

โกสิยเศรษฐีพูดขึ้น “ก็ยังเปลืองอยู่ดี”

“ถ้างั้นเราทอดกินกันสองคนสามีภรรยาดีไหม”

“มันก็ยังมากไป”

“งั้นทอดให้ท่านพี่กินคนเดียว”

โกสิยเศรษฐีได้ยินเช่นนั้นถูกใจทันที พร้อมแนะภรรยาไปว่าถ้าเธอจะทอดกินข้างล่างคนที่ได้กลิ่นเขาจะอยากกินเดี๋ยวจะพากันมาขอกิน เธอจงนำข้าวสารเมล็ดหัก จัดน้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย อย่างละหน่อยและอุปกรณ์ทอดขึ้นไปนั่งทอดให้ฉันกินบนปราสาทชั้น 7 ฉันจะนั่งกินที่นั่นคนเดียว

ภรรยารับคำทำตามนั้น สั่งให้ทาสีจัดและเตรียมสิ่งของต่างๆ ไปไว้ในปราสาทชั้น 7 แล้วไล่ทาสีลงมาชั้นล่าง จากนั้นปิดประตูปราสาท เริ่มผสมแป้งก่อไฟเริ่มทอดขนมเบื้องให้กิน

ก่อนรุ่งอรุณของวันนี้ พระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธญาณอยู่ที่สาวัตถี ทรงเห็นอุปนิสัย

ของโกสิยเศรษฐีและภรรยาจะบรรลุโสดาปัตติผล จึงตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานเถระแล้วส่งไปสั่งสอนโกสิยเศรษฐี

พระเถระรับพุทธบัญชาแล้วก็เหาะไปในอากาศ ปรากฏตัวเดินจงกรมเหนือปราสาทชั้น 7 ของเศรษฐี ที่กำลังกินขนม พอเศรษฐีเห็นพระเถระหัวใจก็สั่นระทึกคิดว่าอุตส่าห์หนีคนขึ้นมาชั้น 7 ก็ดันมีพระโผล่มา

โกสิยถามว่า ถึงท่านจงกรม นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศก็จะไม่ได้อะไร ปรากฏพระเถระได้แสดงฤทธิ์ให้ควันไฟคลุ้งทำให้ปราสาททั้งหมดมีแต่ควันทำให้เศรษฐีแสบตา ฝ่ายเศรษฐีถ้าจะบอกว่าให้ไฟติดขึ้นก็เกรงว่าไฟจะไหม้ปราสาท จึงคิดว่าสมณะรูปนี้คงต้องการขนมจริงๆ ถ้าไม่ให้ก็คงไม่กลับเลยให้ภรรยาทอดชิ้นเล็กๆ ให้

แต่ด้วยฤทธิ์ของพระเถระปรากฏว่าพอภรรยาเทแป้งลงไปขนมก็บานเต็มกระทะ ก็คิดว่าภรรยาคงใส่แป้งเยอะ

จึงตักแป้งนิดหนึ่งด้วยตนเอง ปรากฏว่าขนมนั้นก็บานเต็มกระทะใหญ่กว่าชิ้นแรก จึงให้ภรรยาหยิบชิ้นแรกให้พระเถระแต่ดึงไม่ออกเพราะติดกับชิ้นที่สอง แม้เศรษฐีจะพยายามช่วยดึงยังไงก็ไม่ออก ที่สุดก็ยอมแพ้พระเถระจึงแสดงธรรมโปรดจนบรรลุโสดาบันทั้งคู่

เหนียวอย่างนี้ในทางศาสนาเรียกว่า “ลาภามัจฉริยะ” คือ หวงแหน เห็นแก่ตัวในลาภ เช่น หวงของกิน ของใช้ หวงคน แต่ถ้าถามว่า การให้ใครคนใดคนหนึ่งไปออกแต่รายการทีวีของตน ไม่ให้ออกรายการอื่น ถือเป็นมัจฉริยะไหม

คำตอบคือ เป็นทั้งลาภามัจฉริยะ เป็นทั้งวัณณมัจฉริยะ คือ อยากให้คนอื่นชื่นชมแต่ตนผู้เดียว ไม่ให้ชื่นชมคนอื่นครับ

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่