มอง"โทษคดีข่มขืน"ผ่านมุมนักกม.สภาทนายความ
นายกสภาทนายความชี้คดีข่มขืนฆ่าโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว วอนสังคมอย่าเร่งกระแส ใช้ศาลเตี้ย
นายกสภาทนายความชี้คดีข่มขืนฆ่าโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว วอนสังคมอย่าเร่งกระแส ใช้ศาลเตี้ย
หลังเกิดคดีคนร้ายข่มขืนฆ่าเด็กหญิงบนรถไฟ สร้างความสะเทือนขวัญให้กับสังคม จนเกิดกระแสสนับสนุนให้มีการลงโทษผู้ก่อเหตุด้วยการประหารชีวิตสถานเดียวนั้น ในมุมของนักกฎหมายที่มองประเด็นนี้ก็เป็นความเห็นอีกด้านที่น่าสนใจยิ่ง
เดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่า บทลงโทษผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนมีโทษสูงสุดคือประหารชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งการลงโทษต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการพิจารณาของศาล
"พฤติกรรมของผู้ต้องหาจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าศาลจะตัดสินลงโทษอย่างไร หากเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมไร้คุณธรรม จำนนด้วยหลักฐาน มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ต้องได้รับโทษประหารชีวิต หรือถ้าเป็นเพราะเหตุอื่น เช่น ไม่เจตนา รับสารภาพ ศาลอาจลดหย่อนโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต ทั้งนี้ต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของศาล"เดชอุดมกล่าว
นายเดชอุดมกล่าวอีกว่า กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นผู้ต้องหามีโทษในคดีข่มขืนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี 1 กระทง ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา 1 กระทง และปิดบังซ่อนเร้นศพอีก 1 กระทง แค่กระทงที่ 2 ระวางโทษหนักสุดประหารชีวิตอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเพิ่มโทษให้รุนแรงอีก
เดชอุดม กล่าวว่า อยากขอสังคมว่าอย่าเร่งกระแส อย่าใช้ศาลเตี้ย จะให้รวบรัด สะใจเหมือนคำสั่งคณะปฏิวัติสมัยยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์นั้น เพราะถือว่าหมดสมัยแล้ว อีกทั้งไม่เป็นที่ยอมรับของสากลด้วย
ด้าน วันชัย สอนศิริ อดีตสว. และอดีตเลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า โทษของคดีข่มขืนปัจจุบัน ที่ให้จำคุกสูงสุดถึง 20 ปี ถือว่าแรงอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน หากมีการรุมโทรม ใช้กำลัง ใช้อาวุธ หรือ มีการข่มขืนเด็กและเยาวชน ก็มีการเพิ่มโทษขึ้นไปตามลำดับ ซึ่งถือว่าค่อนข้างรุนแรง เพราะมีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต
ส่วนในคดีล่าสุดนี้มีโทษสูงสุดคือการประหารชีวิต ซึ่งไม่ว่าจะจำนนด้วยหลักฐาน หรือรับสารภาพเอง ก็ถือว่าเข้าข่ายรับโทษสูงสุดเช่นกัน เนื่องจากมีการข่มขืน และฆ่า
“เรามีการปรับแก้โทษคดีข่มขืนมามากแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ โทษของเราถือว่ารุนแรงพอสมควร ส่วนจะให้คดีข่มขืนทุกคดี ต้องรับโทษประหารชีวิตด้วยกันทุกคดีนั้น คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ และอาจเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ผมคิดว่า กฎหมายที่มีขณะนี้ก็รุนแรง และเหมาะสมแล้ว”วันชัยกล่าว
นายวันชัย กล่าวอีกว่า อาจต้องปรับปรุง กระบวนการยุติธรรม ที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าคดีอุกอาจเช่นนี้ ได้รับการพิจารณา และตัดสินลงโทษอย่างล่าช้า เช่น คดีฆ่าบนรถไฟ หากตัดสินในอีก 1-2 ปีข้างหน้า สังคมก็จะลืมแล้วว่า ความรู้สึกตอนเกิดเหตุแรกๆ เป็นอย่างไร โดยอาจต้องปรับกระบวนการใหม่ ให้คดีอุฉกรรจ์ทุกคดี ต้องตัดสิน ภายใน 6 เดือน เพื่อให้คดียังอยู่ในกระแส และคนได้ติดตามกระบวนการดำเนินคดีอย่างใกล้ชิด ให้รู้สึกว่ายังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง
“หากสังคมไม่ลืม และรู้สึกว่าคดียังอยู่ในกระแส ก็อาจทำให้คนที่อาจก่อเหตุ เกิดภาพจำว่า หากก่อเหตุอุกฉกรรจ์ จะต้องรับโทษอย่างไรบ้าง”วันชัยกล่าว
ส่วนกระบวนการลดโทษนั้น ถือเป็นหลักธรรมดาที่กฎหมายกำหนดให้ผู้กระทำผิดมีสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม หากรับสารภาพ ก็ไม่จำเป็นต้องลดโทษ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นเหตุอุกอาจ ซึ่งจะทำให้กระบวนการยุติธรรม ได้รับความเชื่อถือมากขึ้น
สำหรับโทษข่มขืนในปัจจุบัน กฎหมายระบุว่า ผู้ใดข่มขืน กระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือ โดยทำให้ผู้อื่นนั้น เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ จำคุก ตั้งแต่ 4-20 ปี และ ปรับ ตั้งแต่ 8,000 – 4 หมื่นบาท
ขณะเดียวกัน หากใช้อาวุธหรือรุมโทรม มีโทษจำคุก 15-20 ปี ปรับ 3หมื่น – 4หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี มีโทษ จำคุก 4-20 ปี ปรับ 8,000 – 4หมื่น
บาท
ส่วนการกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี มีโทษจำคุก 7-20 ปี ปรับ 1.4หมื่น – 4หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
นอกจากนี้ หากใช้อาวุธหรือรุมโทรมเด็กต่ำกว่า 15 ปี มีโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือถ้าเหยื่อได้รับอันตรายสาหัส มีโทษจำคุก 15-20 ปี ปรับ 3หมื่น – 4หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต หากเหยื่อเสียชีวิต มีโทษประหารชีวิต ถ้าใช้อาวุธ และเหยื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส มีโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือ ประหารชีวิต รวมถึงถ้าใช้อาวุธ และเหยื่อเสียชีวิต มีโทษประหารชีวิต
บรรยายภาพ : เดชอุดม ไกรฤทธิ์, วันชัย สอนศิริ


