ความแข็งแกร่งของประเทศไทย
วันนี้ผมได้ข้อมูลดีๆ มากมายจากบทความของอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา ท่านเขียนถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยในทัศนะของท่านลงในเฟซบุ๊ก (Somkiat Osotsapa) ซึ่งใคร่ขออนุญาตท่านนำมาเล่าสู่กันฟังและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในฐานะที่เป็นแฟนประจำของท่านคนหนึ่ง หวังว่าท่านคงไม่ว่าอะไร
วันนี้ผมได้ข้อมูลดีๆ มากมายจากบทความของอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา ท่านเขียนถึงความแข็งแกร่งของประเทศไทยในทัศนะของท่านลงในเฟซบุ๊ก (Somkiat Osotsapa) ซึ่งใคร่ขออนุญาตท่านนำมาเล่าสู่กันฟังและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมในฐานะที่เป็นแฟนประจำของท่านคนหนึ่ง หวังว่าท่านคงไม่ว่าอะไร
อาจารย์สมเกียรติ เขียนว่า ในประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติเกือบสองร้อยประเทศ และที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก 158 ประเทศ
ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 31 ของโลก เป็นประเทศที่มีกำลังซื้อเป็นอันดับที่ 24 ดังนั้นอียูและอเมริกาจึงกระตือรือร้นที่จะขอมาทำเขตการค้าเสรี เป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับที่ 28 ของโลก เมื่อเกิดเหตุประเทศไทยไม่ส่งออกหรือส่งออกไม่ได้เหมือนที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ การผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ มีปัญหาวุ่นวายไปหมดทั้งโลก
ประเทศไทยเป็นประเทศที่การลงทุนทำได้ง่ายเป็นอันดับที่ 17 ของโลก เท่าๆ แคนาดาและเยอรมนี เป็นประเทศที่ส่งออกและนำเข้าอันดับที่ 20 และเป็นประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวและการให้บริการประเภทต่างๆ แก่คนต่างชาติเป็นอันดับที่ 19 และเป็นประเทศที่คนต่างชาติเมื่อเกษียณอายุแล้วอยากมาอยู่เป็นอันดับที่ 9 ของโลก ค่าครองชีพในเมืองไทยถูกกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าและอินโดนีเซีย ผู้คนนิสัยดี อากาศไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
นอกจากนั้น ท่านยังลงรายละเอียดถึงความน่าอยู่ของเมืองไทยอีกมากมาย ตั้งแต่ห้องน้ำสะอาดหาได้ง่าย ผู้คนหน้าตาดี (อันนี้ผมชอบ) ไม่ตั้งแง่รังเกียจ ใครอยากเป็นตุ๊ดเป็นเกย์เป็นดี้ก็ไม่ว่ากัน และอย่างที่ทราบๆ กันเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารไปขายเลี้ยงโลก ฯลฯ
ใครอยากทราบรายละเอียดลองเข้าไปดูในเฟซบุ๊กของท่านแล้วกัน จะได้ทั้งความรู้ที่แฝงอารมณ์ขัน และที่สำคัญคือได้รู้จักประเทศไทยของเราเองมากขึ้น
อาจารย์สมเกียรติ สรุปไว้ในบทความของท่านว่า ประเทศนี้แข็งแกร่งและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ไม่มีใครกล้ามาแบนอย่างที่ท่านใช้คำพูดว่า มันพูดเพ้อเจ้อกันไปงั้นเอง และขอให้คนที่อ่านบทความของท่านช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลออกไป เพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้น
ผมก็ได้ทำตามที่ท่านขอเอาไว้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทั้งหลายที่ท่านว่ามา ยกเว้นเรื่องคนไทยหน้าตาดี นิสัยดี รู้จักกาลเทศะ ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามแล้ว เป็นความแข็งแกร่งที่ได้สะสมจากนโยบายและการทำงานที่ผ่านมาของภาคเอกชนไทยในอดีต บวกกับภาครัฐที่ประกอบด้วยระบบราชการที่แข็งแกร่ง มีข้าราชการที่ทรงภูมิความรู้และจริยธรรมเป็นที่ยอมรับกันจนถึงทุกวันนี้ อย่างท่านดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ คุณสมหมาย ฮุนตระกูล ดร.เสนาะ อูนากูล คุณนุกูล ประจวบเหมาะ คุณพชร อิศรเสนา ณ อยุธยา และอีกหลายๆ ท่าน ท่านเหล่านี้ยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องจนจัดได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลของประเทศ เป็นผู้ผลักดันและเป็นแก่นสร้างความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนให้การพัฒนาประเทศประสบความสำเร็จ
นอกจากนั้น ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เรายังโชคดีที่ได้มีรัฐบาลที่บางครั้งถึงจะเป็นรัฐบาลเผด็จการเต็มรูปแบบ อย่างรัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แต่ก็เป็นรัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลและรู้จักใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ผลักดันให้เกิดการพัฒนาประเทศขนาดใหญ่ มาเสริมกับรัฐบาลที่ทำงานเพื่อชาติอย่างแท้จริง เช่น รัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐบาลที่ซื่อสัตย์อย่างรัฐบาลนายชวน หลีกภัย หรือแม้แต่รัฐบาลที่มีวิสัยทัศน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยแรก จึงทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าไปไกลล้ำหน้าเพื่อนบ้าน
แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง นักธุรกิจไทยส่วนหนึ่งมีความสุขอยู่กับความสำเร็จในอดีตและความมั่นคงร่ำรวยจากการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก โดยใช้เทคโนโลยีนำเข้าจากต่างประเทศ ประจวบกับช่วงนั้นจัดว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทยที่ประเทศเพื่อนบ้านเกือบทุกประเทศมีปัญหาทางการเมือง รบราฆ่าฟันกันเองหรือต้องทำสงครามกับประเทศอื่น จึงทำให้ไทยสามารถผลักดันตัวเองให้เป็นผู้นำในด้านการผลิตสินค้าให้เจ้าของแบรนด์ในภูมิภาคนี้
แต่ในปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบและโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนได้กลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงกับธุรกิจไทย ทำให้การส่งออกของไทยซึ่งเป็นตัวสร้างจีดีพีที่สำคัญที่สุดของประเทศเติบโตขึ้นอย่างงดงามเรื่อยมา จนในรอบ 23 เดือนที่ผ่านมาเริ่มจะติดลบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของไทยในตลาดโลกเริ่มแสดงอาการไม่สู้ดี
ส่วนด้านการเป็นแหล่งลงทุนนั้น ปัจจุบันทางเลือกของนักลงทุนไทยจากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของไทยแม้จะลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็กระจายความเสี่ยงการลงทุนในประเทศไทยประเทศเดียวไปประเทศอื่นบ้าง เพราะเจอเหตุมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่เห็นๆ อยู่ตอนนี้คือประเทศอินโดนีเซีย และที่กำลังจะเป็นดาวรุ่งพรุ่งนี้ เช่น พม่า กัมพูชา เวียดนาม เป็นต้น ซึ่งก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้อยู่ในความสนใจของนักลงทุน
ด้านการเมืองของประเทศนั้น ไม่จำเป็นต้องขยายความ เราคงพอทราบได้ถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นที่รุนแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อและพัฒนาก้าวไกลจากคอร์รัปชั่นรูปแบบปกติและคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย มีการใช้อำนาจโดยมิชอบ จนสถาบันข้าราชการอ่อนแอ ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้แก่นักธุรกิจที่ซื่อสัตย์ ค้าขายแบบตรงไปตรงมา หรือแก่ประชาชนทั่วไปได้
เหล่านี้คือความอ่อนแอ หรือ Weakness ที่แฝงอยู่ในระบบเศรษฐกิจของไทย ซึ่งได้ออกอาการให้เห็นแล้ว และถ้าไม่รีบแก้ไข ในไม่ช้าความแข็งแกร่งทั้งหลายก็อาจถูกบ่อนเซาะลงทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นคนป่วยของเอเชียเหมือนประเทศบางประเทศในภูมิภาคนี้ที่เคยยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมาก่อน แต่ในที่สุดก็กลายมาเป็นคนป่วยคนแรกในเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์ เพราะปัญหาที่ว่ามาเกิดขึ้นเพราะตกเป็นเหยื่อแห่งความสำเร็จของตนเองที่ฝรั่งเรียกว่า Victim Of Own Success เชื่อว่าประเทศของตนแข็งแกร่งกว่าคนอื่น จึงปล่อยปละละเลยที่จะพัฒนาตนเองให้มีความพร้อมที่จะแข่งขันเพิ่มขึ้น แต่มีทรัพยากรให้คดโกงมากขึ้น
ท่านอาจารย์สมเกียรติได้ให้ภาพความแข็งแกร่งของประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจและครบถ้วน ซึ่งผมจะขออนุญาตให้ความเห็นเสริมอีกปัจจัยที่สำคัญมากคือ ไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจและความสามัคคี ผมนึกไม่ออกเหมือนกันว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้าประเทศนี้ไม่มีองค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกันอะไรจะเกิดขึ้น และเหตุการณ์ต่างๆ จะสงบนิ่งลงภายในเวลาอันรวดเร็วหรือไม่
แต่ที่ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม คือ ความแข็งแกร่งของประเทศไทยวันนี้เกิดจากผลงานในอดีตเป็นส่วนใหญ่ ที่เผอิญเรามีรัฐบาลที่ดีหลายรัฐบาล ทั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลเผด็จการ
มีระบบข้าราชการที่เข้มแข็งเป็นหลักให้บ้านเมือง เป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีนักธุรกิจที่มีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) ไม่ใช่นักเก็งกำไรฉาบฉวย และมีโชคคือเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีปัญหาสงครามกลางเมือง หรือสงครามระหว่างประเทศ จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับใคร นอกจากแข่งขันกับตัวเองให้เป็นฐานการผลิต การส่งออก และการลงทุนในภูมิภาค และ
โชคดีสุดท้ายคือในรอบหลายทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ในช่วงขาขึ้น เป็นตลาดรองรับสินค้าไทยได้เพิ่มขึ้นทุกปี
คำถามคือ ปัจจุบันเรามีรัฐบาล มีนักธุรกิจ มีข้าราชการที่มีคุณสมบัติเหมือนในอดีตหรือไม่ โชคดีของเราผ่านไปหมดหรือยัง ต่อไปเราพร้อมจะแสวงหาความสำเร็จด้วยฝีมือเท่านั้นหรือไม่
ขอบคุณท่านอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา อีกครั้งครับที่จุดประกายความคิดให้


