หมอพรทิพย์...รีเทิร์นขอกวาดบ้านก่อนเกษียณ
หลังจากถูกเด้งไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมมา 1 ปี ก็ถึงเวลาที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กลับมานั่งที่บ้านเดิม ที่เก้าอี้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติอีกครั้ง
โดย...สุภชาติ เล็บนาค/อินทรชัย พาณิชกุล
หลังจากถูกเด้งไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรมมา 1 ปี ก็ถึงเวลาที่ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กลับมานั่งที่บ้านเดิม ที่เก้าอี้ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติอีกครั้ง ตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไว้วางใจหมอพรทิพย์ แม้จะเหลืออายุราชการเพียง 1 ปีเศษ
“โพสต์ทูเดย์” จับเข่าคุยกับหมอพรทิพย์ในช่วงฮันนีมูนหลังรับตำแหน่งได้ 1 สัปดาห์ ครั้งนี้หมอมาพร้อมกับดาบอาญาสิทธิอันใหม่จาก คสช. ที่จะให้เธอเป็นผู้ชูธงนำการปฏิรูประบบนิติวิทยาศาสตร์ให้กลับมาอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนได้เต็มที่
“1 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก คือได้ไปตรวจราชการของกระทรวงยุติธรรม เราได้เห็นอีกมิติว่า ปัญหาบ้านเมืองทุกวันนี้ ที่บอกว่าโครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริต ไม่ใช่นักการเมืองอย่างเดียวข้าราชการนี่แหละที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองไปตามการเมือง แล้วเราก็ไปเห็นอีกว่าปัญหายาเสพติดส่งผลกระทบทุกกรม ไม่มีการแก้ ได้แต่สร้างภาพว่าจับๆ แต่เคยหาต้นตอไหม เคยบล็อกเส้นทาง แก้ปัญหาส่วยไหม แค่กรมราชทัณฑ์จะตายอยู่แล้ว กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนก็เข้าไปเกี่ยวข้องหมด กรมคุมประพฤติก็ทำหน้าที่ลำบาก แล้วเราก็ได้เห็นว่าระบบราชการมันถูกรวมอยู่ที่ส่วนกลางอย่างเดียว”
แต่ 1 ปีที่ผ่านไปนั้น หมอพรทิพย์ให้ภาพว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์เปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ งานหลายๆ อย่างไม่เป็นไปตามตัวชี้วัด ขณะเดียวกันก็ยกเลิกความร่วมมือกับกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รวมถึงภารกิจใน 3 จังหวัดภาคใต้ก็ถูกทิ้งขว้าง ปล่อยให้มีการโยกย้ายไม่เป็นธรรม ยอมให้ฝ่ายการเมืองลดภารกิจลงเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากปล่อยต่อไป ก็อาจถูกสถาบันนิติเวชวิทยาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลืนและถูกยุบหน่วยงานในที่สุด
“หมอจะเข้ามาปัดกวาดบ้าน เราเสนอแผนระยะยาวว่าจะต้องให้สถาบันนิติเวชตำรวจมาทำงานร่วมกัน โดยอาจอยู่ภายใต้ร่มของกระทรวงสาธารณสุขหรือใต้กระทรวงยุติธรรมก็ได้ โดยอาจจะตั้งกระทรวง Homeland เหมือนในสหรัฐให้เราไปอยู่ก็ได้ หรือไม่ต้องยุ่งกับสถาบันนิติเวชตำรวจ แต่ต้องให้อำนาจเรามากขึ้น เพราะอยู่กับตำรวจมีปัญหาเยอะ”
หมอพรทิพย์พูดตรงๆ ว่า การทำงานของตำรวจไม่มีเกณฑ์มาตรฐานและผู้บังคับบัญชาก็ไม่ให้ความสำคัญ ไม่มีแม้แต่การประกันคุณภาพ แม้แต่วันนี้ห้องแล็บของตำรวจเองก็ไม่ได้มาตรฐาน วัตถุพยานก็เก็บกันมือเปล่า
“มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าตำรวจไม่ยอมทำจบ เขาเลยเทกันมาหาหมอพรทิพย์ให้ช่วยหน่อย แทนที่ตำรวจจะดีใจที่เราช่วย กลายเป็นว่าหมอจับอะไร เขาก็ตามมาทำด้วยและไล่เราทิ้งทุกเรื่อง เราจับเรื่องข้อมูลดีเอ็นเอตั้งแต่ปี 2546 และก็ทำสำเร็จในภาคใต้ ตำรวจก็ดึงออกไป เราผลักดันเรื่องศูนย์พิสูจน์ศพนิรนามเอาข้อมูลส่งให้ตำรวจ เขาก็ต้าน สุดท้ายตำรวจก็ไปตั้งศูนย์ของตัวเอง”
หมอยังบอกอีกว่า ด้วยความที่อดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นตำรวจ และการเมืองต้องพึ่งตำรวจค่อนข้างมาก ทำให้ตำรวจมีบทบาทสูง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังตั้ง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขย ให้เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ทำให้หน่วยงานนี้ถูกกดมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จนในที่สุดก็ได้จังหวะบีบหมอพรทิพย์ออกจากตำแหน่งในที่สุด เพิ่งจะมาเห็นแสงสว่างอีกครั้งในยุค คสช.
“เรื่องนี้พูดตรงๆ ว่าไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง เพราะปีหน้าหมอก็เกษียณ เราต้องการให้ประชาชนได้ประโยชน์ ให้ระบบมันอยู่ต่อไปได้”
ถามว่าปีนี้เป็นปีทองในชีวิตราชการของหมอพรทิพย์อย่างที่ให้สัมภาษณ์หลังได้รับตำแหน่งหรือไม่ คุณหมอตอบทันทีว่า อย่าไปคิดแบบนั้นเลย ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ตอนทำคดีเจนจิรา ชีวิตขึ้นพีก พอพีกปุ๊บเรารู้เลยว่าข้างหน้างานหนักแน่ๆ แล้วมันก็หนักจริงๆ มาพีกอีกทีตอนที่ได้เป็นคุณหญิง แล้วมันก็หนัก หนักมาสิบกว่าปีแล้ว วันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พีกสุดในชีวิตรับราชการ เราก็หวังว่าหลังจากนี้จะมีแต่เรื่องดีๆ มากขึ้น
สำหรับเรื่องการเมือง หมอพรทิพย์ปฏิเสธว่าไม่เคยเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับย้ำว่าเป็นคนแรกที่เสนอให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อเปิดทางให้นักการเมืองรุ่นใหม่ขึ้นมานำพรรคแทน ส่วนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น หมอพรทิพย์บอกว่าเคยรักกันดีถึงขั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชวนให้มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมด้วยซ้ำ
“วันนั้นหมอบอกว่า เราอยากเป็นข้าราชการธรรมดา 100% เลยในชีวิต รัฐมนตรีคือผู้ที่ต้องปฏิบัติตามประชาธิปไตย หมอเป็นข้าราชการ เรายังต้องยึดอุดมการณ์เรา แต่ถ้าเมื่อไรที่คุณดึงให้เบี้ยวมาก หมอก็ไม่เดินด้วย เพราะฉะนั้นไม่เคยฝักใฝ่การเมืองเลย” หมอพรทิพย์ระบุ
การไปขึ้นเวทีของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นั้น หมอพรทิพย์บอกว่า เพราะมั่นใจว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จะไม่กลับมาเล่นการเมืองอีกแล้ว ขณะเดียวก็ชัดเจนว่ารัฐบาลทำผิดกระบวนการยุติธรรมชัดเจนรวมถึงต้องการให้ข้าราชการมีความกล้ามากขึ้น ในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเมื่อชัดเจนว่าไม่ใช่เวทีของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จึงตัดสินใจขึ้นไปพูด
ขณะที่ความสัมพันธ์กับ คสช.นั้น หมอพรทิพย์ยืนยันว่าไม่ได้มีคอนเนกชั่นเป็นพิเศษ เพียงแต่เคยทำงานในภาคใต้ ทำให้ได้รู้จักนายทหารบ้างเท่านั้นเอง ซึ่งจนถึงขณะนี้ คสช.ยังให้หมอพรทิพย์ “ทดลองงาน” ช่วง 3 เดือน เหมือนกับทุกคนที่เพิ่งถูกแต่งตั้งเข้าไป ซึ่งขณะนี้เขาพร้อมเต็มที่แล้ว ที่จะให้ความร่วมมือปฏิรูปข้าราชการ
“ข้าราชการที่เทาๆ จะแดง จะเหลือง หรือเหยียบมันทั้งสองข้าง พวกนี้เพียบเลย โดยเฉพาะข้าราชการตำแหน่งบน หมอไม่ได้อยู่ตำแหน่งนั้น หมออยู่ตำแหน่งล่าง เลยต้องขอใช้โอกาสปฏิรูปพวกเขาผ่านสื่อ ถ้าเขาไม่รับ เราก็ทำต่อไป เป้าหมายเราชัดเจนว่าเจอแก้วแตก ก็ต้องเก็บกวาด ห่อไปทิ้งลงถังขยะ แต่ไม่มีเก็บ 5 ชิ้น แล้วเหลือไว้ 5 ชิ้น แล้วเดี๋ยวค่อยไปห่ออีกทีแน่นอน” หมอพรทิพย์ทิ้งท้าย


