posttoday

"พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์"ผู้กอบกู้ดีเอสไอ

29 มิถุนายน 2557

ผู้นำองค์กรต้องพยายามนำไปสู่เป้าหมาย ถ้าผู้นำไม่แสดงชัด ข้างล่างก็เริ่มส่าย สิ่งที่ตามมาคือองค์กรอยู่ไม่ได้

เรื่อง : เอกชัย จั่นทอง, กันติพิชญ์ ใจบุญ / ภาพ : กิจจา อภิชนรจเรข

หลายฝ่ายจับจ้องการปฏิรูปกรมสอบสวนคดีพิเศษยุคใหม่หลังยุคธาริต เพ็งดิษฐ์ ถูกวิจารณ์หนักว่ารับใช้การเมือง ไม่มีความเป็นธรรมหลงเหลือ

เมื่อเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจ ส่ง “บิ๊กเปี๊ยก” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาปฏิบัติหน้าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จากคำสั่งแต่งตั้งสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา หวังกู้ภาพลักษณ์องค์กรให้กลับมาผงาดอีกครั้ง

“บิ๊กเปี๊ยก” เป็นนายตำรวจสอบสวนมือดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เส้นทางในอดีตเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.)    รุ่น 30 เติบโตในสายงานของพนักงานสอบสวนมาโดยตลอด    รับราชการครั้งแรกเป็นพนักงานสอบสวน สน.พญาไท บางเขน บุปผาราม และบางยี่ขัน ก่อนไต่เต้าขึ้นชั้นนายพล ผ่านตำแหน่งสำคัญมากมาย อย่างรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง     ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและสอบสวน ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้บัญชาการกองบัญชาการศึกษา ล่าสุดนั่งตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

โพสต์ทูเดย์มีนัดจับเข่าคุยภายในห้องทำงานชั้น 11 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ล้วงลึกความคิดทิศทางการทำงานภายใต้ “ความท้าทาย-แรงกดดัน” จากสังคมที่มองว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นองค์กรรับใช้การเมือง ซึ่งที่สุดแล้วดีเอสไอจะเดินไปอย่างไรในยุคนายตำรวจมือดีคนนี้??? เมื่อวันนี้ครบ 1 เดือนเต็มกับการปฏิบัติหน้าที่อธิบดีดีเอสไอ แน่นอนเมื่อเข้ามานั่งตึกนี้ต้องทราบดีว่าที่ผ่านมาดีเอสไอเกิดข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนใดที่ทำให้หน่วยงานนี้มีภาพลักษณ์ตกต่ำสุดๆ

ยุคก่อนทำคดีเล็ก ไม่เป็นกลาง การเมืองยุ่ง

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ เปิดวงสนทนาย้อนปัญหาในห้วงเวลาการทำงานของดีเอสไอที่ผ่านมาว่า ถ้ายึดหลักตามกฎหมายก็มีความชัดเจน กฎหมายของดีเอสไอเป็นการให้ดุลยพินิจกับตัวอธิบดี    แต่ในการอนุมัติให้เป็นคดีพิเศษหรือว่าการนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการคดีพิเศษตัวอธิบดีมีบทบาทมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผ่านมา คนมองว่าดีเอสไอนำคดีเข้ามาในความรับผิดชอบเป็นคดีพิเศษ บางเรื่องมันไม่ใช่คดีพิเศษหรือมันน่าจะเป็นเรื่องของตำรวจท้องที่ทำคดีมากกว่า พอดีเอสไอไปเกี่ยวข้องกับการเมือง คือเหมือนกับว่าไปทำให้กลุ่มหนึ่งเพื่อจะไปทำลายอีกกลุ่มหนึ่ง จึงกลายเป็นประเด็นทางการเมืองเกี่ยวข้อง เหมือนเกิดความไม่เป็นกลาง ซึ่งความจริงการทำงานของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเป็นกลาง แล้วก็ทำด้วยความเป็นธรรม แต่ที่ผ่านมาถูกมองเป็นอย่างนั้น

“ก็คงไม่ต้องวิจารณ์ว่าเป็นยังไง สิ่งที่ประชาชนได้เห็นได้ดูก็จะมีความรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าตัวเจ้าหน้าที่ใช้ดุลยพินิจไปทางอย่างนั้น ผลก็เลยออกมาเป็นภาพของดีเอสไอว่าไม่น่าจะไปทำคดีเล็กๆ หรือว่าไปเกี่ยวข้องกับทางการเมือง”

ทำไมที่ผ่านมาดีเอสไอถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการเมือง? อธิบดีดีเอสไอตอบว่า มันมีเรื่องการกระทำความผิดบางเรื่องที่มีคนที่อยู่ฝั่งทางการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง อาจจะเป็นผู้กระทำความผิด ผู้ต้องหา หรือถูกกล่าวหาก็ตาม ซึ่งความผิดที่เขาทำมันไม่เข้าข่าย แต่ว่ามันสามารถโยงได้ เช่น ถ้าบอกว่าที่ทำนี้ไม่ได้ทำคนเดียว แต่เป็นกระบวนการ มีคนที่เป็นหัวหน้า เป็นลูกน้อง มีการแบ่งหน้าที่กัน มันอาจจะคิดได้ว่านี่คือกระบวนการ เช่นเดียวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ยกตัวอย่าง พูดถึงคำว่ากบฏ หรือคำว่าหมิ่นมันก็จะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง อย่างนี้ก็มองว่าเป็นเรื่องที่สอบสวนได้ แต่อีกส่วนก็ไปมองว่าเรื่องพวกนี้เข้าไม่ได้ แต่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน อะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ได้หมด แล้วเอาเรื่องเหล่านี้มาขอความเห็นคณะกรรมการคดีพิเศษ คณะกรรมการก็มีมติ 2 ใน 3 สามารถเอามาสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้

“การที่ท่านทำมา ท่านจะเอาเรื่องนี้มาทำได้ ท่านจะต้องพยายามอธิบายให้มันเข้าหลักเกณฑ์ ให้คณะกรรมการเห็นชอบ ก็ถือว่าเป็นคดีพิเศษ แต่ถ้าเป็นคดีที่ไม่ผ่านบอร์ด ไม่ผ่านคณะกรรมการ มันก็เป็นเรื่องที่อธิบดีต้องรับผิดชอบ”

“บิ๊กเปี๊ยก” ขยายความว่า มีอันหนึ่งที่ทำให้เบี่ยงเบนได้ ก็คือคำว่า คดีพิเศษ 5 ข้อ ซึ่งเป็นเหมือนเรื่องนามธรรม เพราะไม่มีเรื่องจำนวนตัวเลข จะมาบอกว่าเข้าข่ายอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วกฎหมายนี้ตอนออกมาใหม่ต้องให้มีกรอบกฎเกณฑ์ไว้ เช่น คดีทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า เขาจะบอกจำนวนของกลาง มูลค่าความเสียหาย เมื่อก่อนเคยมี แต่ตอนหลังอธิบดียกเลิกไม่ต้องดูเรื่องพวกนั้น มาดูหลัก 5 ข้อคดีพิเศษแทน

“ในสายตาสังคม เขาคัดค้านว่าไม่น่าจะใช่ ถ้าจะบอกว่าท่านไม่ถูก เพราะมันอยู่ในดุลยพินิจของท่าน ถ้าในแง่กฎหมายไม่มีปัญหา แต่ในความรู้สึก บางเรื่องมันไม่ควร บางเรื่องมีผลกระทบกับคนกลุ่มหนึ่ง ดูไม่เป็นกลาง ตรงนี้ทำให้มองว่าการทำงานของ   ดีเอสไอมันน่าจะไม่ใช่ในความรู้สึกที่เห็น องค์กรไม่เกี่ยว ตัวบทกฎหมายก็ไม่เกี่ยว อยู่ที่ตัวคน จากตัวคนจึงนำมาคิดว่าจะเป็นยังไง ตัวอธิบดีมีโอกาสใช้ดุลยพินิจ คนเป็นอธิบดีของที่นี่ต้องชัดเจน ต้องอธิบายได้ว่าเป็นคดีพิเศษจริง”

"พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์"ผู้กอบกู้ดีเอสไอ

คดีไหนที่มีความสำคัญในตอนนี้? พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าวว่า การเข้ารับหน้าที่ครั้งนี้ไม่มีเป้าหมายที่จะรื้อฟื้นคดีเดิม แต่คดีไหน ที่สอบสวนไม่เสร็จก็ต้องสอบสวนให้เสร็จ ต้องทำให้สมบูรณ์ที่สุด ใครผิดว่าไปตามผิด ใครถูกว่าไปตามถูก คดีเก่าที่สรุปส่งอัยการไป แต่เรื่องยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องไปทำ เรามีฐานข้อมูลมีต้นเรื่อง    สอบสวนเพิ่มเติม ตรงนี้ก็ต้องทำ

“คดีที่ทำตอนนี้ ถ้าเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง เสร็จหมดแล้ว มีแต่คดีที่เกี่ยวเนื่อง เช่น คดีเรื่องขัดขวางการเลือกตั้งที่ได้โอนมา ส่วนคดีที่ผมพยายามถามสำนัก เช่น คดีแชร์ลูกโซ่ มันก็จะมี|เรื่องการหลอกลวง ฉ้อโกงประชาชน ต้องทำเพราะกระทบกับประชาชนวงกว้าง คดีภาษี เรื่องรถหรู อันนี้เดินอยู่ไม่ได้หยุด หรือคดีเจ้าหน้าที่รัฐฮั้วประมูลทุจริต

ส่วนคดีความมั่นคง บางเรื่องก็ทำ บางเรื่องมีหลักฐานเพิ่มเติมมา อย่างเรื่องคดีการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 คดีพวกนี้มันโยงกัน ผมพยายามให้เจ้าหน้าที่อธิบาย เอาสำนวนมาดู มันสมบูรณ์เสร็จเรียบร้อยดีไหม ถ้าดูแล้วไม่ครบถ้วน เราก็จะให้มีการสืบสวน ดำเนินคดีเพิ่มเติม”

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ระบุว่า คดีที่ดีเอสไอทำมาทั้งหมด ในส่วนที่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่ใช้ปืนยิงชาวบ้าน ผู้ชุมนุม ซึ่งข้อเท็จจริงแล้วเจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ปืนยิง แต่เป็นการยิงมาจากอีกฝ่าย จึงมีการตอบโต้ ก็ต้องดูว่าสำนวนสมบูรณ์จริงหรือไม่ แต่ถ้ามีคนมาบอกมีหลักฐานมาเชื่อมโยง หรือคดีระเบิดที่ไม่ครบถ้วน มันมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่การสอบสวนยังไม่ครบถ้วน คือเราไม่รื้อคดี

ผู้นำต้องไม่เป๋ ใครเกี่ยวพันผลประโยชน์ เอาตายแน่

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยอมรับว่า มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอบางคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมาก เพราะคดีที่ดีเอสไอรับผิดชอบ เป็นอาชญากรรมรุนแรง อย่างเรื่องเศรษฐกิจ มีมูลค่าความ    เสียหายเป็นตัวเงินมาก ดังนั้นต้องทำให้คนในองค์กรไม่วอกแวก ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ซึ่งปัจจุบันค่าตอบแทนของคนในองค์กรนี้ที่สูง ไม่เหมือนกับตำรวจชั้นประทวนที่ได้แค่ 3,000 บาท แต่ที่นี่เริ่มเป็นหมื่นกว่าบาท นี่ยังไม่รวมเงินเดือน ฉะนั้นต้องทำให้เขาพึงระลึกว่าค่าตอบแทนที่มีอยู่สูงแล้ว ดังนั้นต้องมีเกียรติ

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ เล่าว่า ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ทำงานเต็มที่ เวลาเปิดคดีสามารถเบิกเงินได้ และต้องตอบโจทย์ได้ แล้วถ้าทุกคนมั่นคงในหน้าที่ สร้างจุดนี้ขึ้นมาได้ ก็จะไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์

“ผมเหนื่อยกับเรื่องตรงนี้ นับหนึ่งคือคนที่มาจากความหลากหลาย และความซื่อสัตย์ ตัวผมชัดเจน ไม่ข้องเกี่ยว เพราะถ้าผมทำ ข้างล่างก็รู้ ผมต้องทำตัวเองให้ชัด ตัวคนที่ทำงานวันนี้ ถ้าใครฝืน ทำความเสียหาย ผมเอาตาย เพราะถือว่าเราพูดคุยกันแล้ว

...วันนี้ผมมาปฏิบัติหน้าที่ คนที่มาตรงนี้ ต้องไม่ทำให้สังคมมองว่าคุณเข้าอีหรอบเดิม อันนี้ต้องทำให้เห็น แล้วยิ่งตอนนี้มาโดนสถานการณ์พิเศษ เมื่อ คสช.เลือกผมมา ผมก็แสดงบทบาทนี้|ให้เห็นว่าผมจะไม่พยายามไปแสดงบทบาทอะไรกับใคร ไปมองฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ หรือเอาคดีเก่ามารื้อ ผมไม่ทำ ผมทำตาม|หน้าที่ คดีที่ค้างทำต่อ คดีใหม่ก็ทำต่อ เราคงไม่อยากดูหรือรื้อฟื้นเรื่องเก่า ไม่อยากถูกมองอย่างนั้น ประเด็นสำคัญคือเราต้องลดความขัดแย้ง สร้างความสามัคคี ปรองดอง ไม่แบ่งฝักฝ่าย กฎหมายโปร่งใส

...ผมคิดว่าวันนี้อนาคตดีเอสไอต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นองค์กร   อยู่ไม่ได้ เพราะการบริหารลูกน้องก็อยู่ที่ตัวผู้นำ ถ้าชัดเจน    ลูกน้องเดินตามอย่างนั้น ถ้าผู้นำเป๋ ลูกน้องเป๋ตาม” บิ๊กเปี๊ยก   ย้ำชัดกู้ภาพลักษณ์ดีเอสไอ

กระนั้นเจ้าตัวยังยืนยันความแน่วแน่ด้านการทำงานว่า ผู้นำองค์กรต้องพยายามนำไปสู่เป้าหมาย ถ้าผู้นำไม่แสดงชัด ข้างล่างก็เริ่มส่าย ถ้าผู้นำไม่เชี่ยวชาญ ไม่คำนึงถึงเกียรติขององค์กร ลูกน้องก็ไม่ต้องพูดถึง สิ่งที่ตามมาคือองค์กรอยู่ไม่ได้ เพราะคนในองค์กร อันนี้คือสิ่งที่ดีเอสไอต้องคิดถึง

“เรื่องงานผมไม่ห่วง เพราะเป็นงานถนัดเลยสอบสวนสืบสวน ผมเป็นตำรวจนักกฎหมายนี่นา แต่ที่ห่วงในดีเอสไอคือเรื่องคนเท่านั้น เพราะต่างคนต่างที่มา อีโก้ก็ต้องสูง ใครมาก็ต้องหวังความก้าวหน้า ผมก็ต้องเข้ามาปรับเปลี่ยนใหม่ อย่างกติกาการรับพนักงานเข้ามาทำงานในดีเอสไอ ผมไม่ใช้วิธีจิ้มเอาเหมือนที่ผ่านมา แต่เปิดรับสมัครสอบตามความสมัครใจ ใครเจ๋งจริงเก่งจริงได้เข้ามาทำงาน

...เจ้าหน้าที่ทุกคนยอมรับตรงนี้เพราะเป็นกฎข้อเดียวกันหมด เราต้องเป็นสากล เป็นความหวังแก้ปัญหาของประเทศ จะมาแบบพวกใครเด็กใครไม่ได้ เจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานไม่มีเส้นสายแต่มีฝีมือก็เจริญก้าวหน้าในอาชีพการงานได้ แต่ปัญหาที่ผ่านมาเพราะมีคนโอนเข้ามา ได้นับหนึ่งใหม่ มันก็กลายเป็นองค์กร   พี่น้องกันอีก อย่างนั้นเราไม่เอาแล้ว ดีเอสไอต้องเจ๋งจริง”

นั่นคือความมุ่งมั่นของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ อธิบดีดีเอสไอคนใหม่ สะท้อนอดีต รวมถึงแนวทางกู้ภาพลักษณ์ให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นองค์กรนี้อีกครั้ง

"พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์"ผู้กอบกู้ดีเอสไอ

ดูให้ชัดอะไรเข้าข่ายคดีพิเศษ

ปรัชญาในการทำงานกรมสอบสวนคดีพิเศษ เจ้าตัวบอกว่า  ดีเอสไอตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ต.ค.2545 แน่นอนมีคำว่า “พิเศษ” ไม่ใช่การทำคดีทั่วไป  ต้องมีคนทำงานด้วยความเชี่ยวชาญ ซื่อสัตย์ ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ การมีอำนาจในการทำงานก็จะมีกฎหมายมารองรับ มีพรบ.การสอบสวนคดีพิเศษ ในกฎหมายระบุว่าคดีที่มีลักษณะพิเศษจะมีอะไรบ้าง ถ้ายึดตามกรอบกฎหมาย พวกคดีเล็กๆจะไม่มี 

คดีที่อยู่ในความหมายของคดีพิเศษ  1.จะต้องเป็นคดีที่ซับซ้อน ต้องเป็นคดีที่ต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ รวบรวมพยานหลักฐานที่เป็นพิเศษ คือต้องใช้เครื่องมือพิเศษในการทำ เพราะฉะนั้นในกฎหมายจึงบัญญัติเรื่องการสืบสวน การสะกดรอย การดักฟังโทรศัพท์ 

2. คดีความรุนแรง ที่กระทบกับเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้ามีความรุนแรงกระทบกับสิ่งเหล่านี้เป็นความพิเศษ

3.อาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นองค์กรอาชญากรรม อันนี้ต้องใช้ความเป็นพิเศษในการดำเนินการ เพราะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคนทำ แต่เป็นองค์กรและข้ามชาติ 

4. ผู้มีอิทธิพลกระทำความผิด หรือว่าเป็นตัวการ หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดอาญา  และ

5.เรื่องเจ้าพนักงานของตำรวจชั้นผู้ใหญ่

ดังนั้น ใน 5 ประเด็นนี้ ถือว่าเข้าข่ายคดีพิเศษ จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก และทั้งหมดก็ไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง

พล.ต.อ.ชัชวาลย์ อธิบายว่าคดีที่จะทำนอกจากจะเข้าข่ายความเป็นพิเศษแล้ว มันจะไปบวกด้วยความผิดที่อยู่ในบัญชีท้ายของการสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งกำหนดประเภทความผิดไว้ทั้งหมด 32 กฎหมาย ความจริงเป็น 35 กฎหมาย แต่กฎหมายบางฉบับยุบรวมกัน เป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา แต่ใน 32 ฉบับ ก็ไม่มีเรื่องการเมือง

อย่างไรก็ตาม ถ้าจะแบ่งกลุ่มก็จะเป็นเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ความมั่นคง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับเรื่องอาญาพิเศษอื่นๆ คดีพิเศษอื่นๆจะเข้ามาอีกก็ได้ ถ้าอยู่ใน 5 เหตุข้างต้น  อันนี้คือส่วนที่เป็นกฎหมายท้ายพระราชบัญญัติ ซึ่งในการทำงาน จริงต้องดูประกอบกัน และมาดูกฎหมายประกอบ ถ้าเข้าข่ายใน 1 หรือว่า กฎหมายหนึ่งกฎหมายใดใน 32 ฉบับ ถึงจะสอบสวนได้โดยการอนุมัติของอธิบดี

"พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์"ผู้กอบกู้ดีเอสไอ

ยึดผลงาน-ไม่เล่นเส้น

จากเด็กชายที่วิ่งเล่นตามทุ่งนาที่ จ.พระนครศรีอยุธยา พ่อแม่จับส่งเข้ากรุงเทพมหานครฝากไว้กับพระที่วัดเบญจมบพิตร อยู่วัดได้นาน 7 ปีเศษรับใช้พระสงฆ์เป็นเด็กวัด ก่อนเปลี่ยนแปลงชีวิตของ “เปี๊ยก” หรือชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ เมื่อสอบตรงเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานได้สำเร็จในรุ่นที่ 30

เรียนจบออกมาจากรั้วสามพราน ชีวิตราชการสีกากีได้นำพา “เปี๊ยก” กลายเป็น “บิ๊กเปี๊ยก” จนถึงทุกวันนี้ เพราะจากเด็กวัดคนนั้นเขาคือ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่วันนี้ใส่สูทผูกไท เข็มหมุดปักโลโก้ “DSI” ที่อกด้านซ้าย เมื่อมารับหน้าที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษคนใหม่ถอดด้าม

ไม่เท่านั้น พล.ต.อ.ชัชวาลย์ คือแคนดิเดตคนสำคัญในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนที่ 10 เบอร์หนึ่งแห่งรั้วปทุมวัน ตำแหน่งสูงสุดของสีกากี ที่ตำรวจทุกนายอยากได้ครอบครอง เพื่อสร้างเกียรติภูมิให้กับตัวเอง

โพสต์ทูเดย์ถามตรงๆ เหลืออีก 1 ปี ในอายุราชการ อยากนั่งเก้าอี้ตัวไหน อยากทำงานที่ใด เพราะทั้งสองแห่งทั้งดีเอสไอและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ล้วนแต่เป็นองค์กรที่จะขับเคลื่อนประเทศเหมือนกันทั้งสิ้น

“ผมเลือกไม่ได้ แต่ผมเป็นคนทำงานและพร้อมจะทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา หากคำสั่งนั้นเห็นว่าผมยังเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ผมพูดเสมอว่าเป็นรอง ผบ.ตร. ผมก็ดีใจมากแล้ว ตำแหน่ง ผบ.ตร.ก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เป็น อาวุโสก็ไม่ใช่ อีกอย่างการเมืองที่ผ่านมาก็รู้กันอยู่ว่าใครเป็นใคร คนไหนจะได้ขึ้น เพราะฉะนั้นผมหมดสิทธิ

...แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน ชื่อผมขึ้นมาก็ดีใจ ได้ขึ้นมาทำงานตำแหน่งสูงๆ ทั้งอธิบดีดีเอสไอและยังมีชื่อลุ้น ผบ.ตร.อีก มันก็เป็นธรรมดา แต่หากไม่ได้ทั้งสองแห่ง ผมก็ต้องเสียใจแน่ๆ ไม่ต่างจากเด็กได้ขนมมา แล้วถูกดึงกลับ” พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ชี้แจง

“บิ๊กเปี๊ยก” บอกอีกว่า ที่ผ่านมาในชีวิตราชการตำรวจก็ถือว่าภาคภูมิสำหรับตัวเองแล้ว เดินไปไหนไม่อายใครเพราะไม่เคยไปคดโกงใครมา สำคัญที่สุดคือเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน สมดั่งปรารถนาและได้รับราชการตำรวจทำงานเพื่อสังคมอย่างที่ตั้งใจเพียงเท่านี้ก็เพียงพอ

“แต่ลึกๆ แล้วก็หวังอยากจะเติบโตให้ถึงที่สุด (หัวเราะ) เมื่อมีโอกาสมีความสามารถในการทำงานก็อยากจะไปให้ถึงที่สุด เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมเป็นตำรวจใหม่ พูดกับตัวเองเสมอว่าต้องพยายามเดินให้ถึงรั้วปทุมวันให้ได้ เมื่อคิดเมื่อพูดกับตัวเองก็ต้องหาคำตอบว่าทำอย่างไรถึงจะไปนั่งเก้าอี้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ได้ มันก็ต้องทำงานให้ดีที่สุด และท้ายที่สุดแล้วผลงานของเราก็จะตอบคำถามในวัยเด็กของเราเองนั่นคือ ผมก้าวขึ้นมาเป็นถึงนายพลตำรวจเอกได้ เพราะความสามารถของตัวเอง”

กระนั้นก็ตาม ยืนยันจากปากของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ว่าจะไม่เสียใจ หากไม่ได้เป็นดั่งหวัง แต่พร้อมจะทำงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ทุกวันทุกวินาทีมีค่าสำหรับคนทำงาน และจะเป็นเช่นนั้นจนถึงวันที่ถอดเครื่องแบบเกษียณราชการออกไป

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของตำรวจถูกลิดรอนในแง่ลบจากสังคมเป็นอย่างมาก แต่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ชี้แจงว่า องค์กรตำรวจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด เพียงแต่คนคนเท่านั้นที่ทำองค์กรไปผิดที่ผิดทาง เรื่องฝีมือการทำงานไม่ได้ด้อยแม้แต่นิด เพราะงานของตำรวจเป็นของตำรวจเท่านั้น แต่ปัญหาอยู่ที่ตำรวจที่ดีมีผลงาน หากไม่มีเส้นสายพรรคพวกก็ยากจะเติบโต เรียกว่ามันไม่ใช่ลูกรัก

“มีผลงานแต่ไม่ได้โปรโมท ตำรวจดีมันก็น้อยใจ จะทำงานดีไปทำไม ทำไปก็ไม่ก้าวหน้า มันสะท้อนไปถึงความสามัคคีภายในองค์กรอีก เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายมันถึงไม่เป็นธรรม คนไม่ทำงานแต่ไลน์ดีก็ไปไกล คนทำงานไม่มีพวกกลับตกต่ำหรือย้ำอยู่กับที่ มันก็ไม่เข้าพวกกัน ถ้าจะเปลี่ยนต้องเปลี่ยน|ตรงนี้ อย่าให้อำนาจจากภายนอกเข้ามาแทรกแซงตำรวจได้เด็ดขาด

สิ่งที่องค์กรตำรวจได้รับผลกระทบมากที่สุด คือการถูกแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายจากภายนอก ทำให้คนในองค์กรเริ่มไม่มั่นใจกับผู้นำขององค์กร ฉะนั้นสิ่งที่ต้องแก้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือการบริหารทรัพยากรบุคคล ส่วนเรื่องโครงสร้างคือกระจายอำนาจ ต้องมีอำนาจจริงๆ ทุกวันนี้กระจายอำนาจมันเหมือนกับไม่จริง พอมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการแต่ละที่แต่ละภาคแล้ว แต่ถึงเวลาการแต่งตั้งโยกย้าย ผู้บัญชาการไม่มีอำนาจเต็ม จะดึงคนทำงานจริงมาก็ไม่ได้ ทุกอย่างยังรวมอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องกระจายให้ได้”พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ร่ายยาว

ตัวตนของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าเจ้าตัว หลังจากเป็นบิ๊กตำรวจที่เงียบมานานหลายยุค มาถึงวันนี้โดดเด่นขึ้นมาหลังการมีอำนาจของท็อปบู๊ต บนความไว้วางใจให้มา กอบกู้ดีเอสไอ ขึ้นมาให้เป็นความหวังของคนในสังคม พล.ต.อ.ชัชวาลย์ จึงเต็มใจที่จะทำหน้าที่นี่ให้ดีที่สุด

หันมาดูอีกด้าน ด้วยวัยย่างก้าว 59 ปี พล.ต.อ.ชัชวาลย์ ยังดูแข็งแรงสมกับเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หากมีเวลาว่าง “บิ๊กเปี๊ยก” จะไม่เฉย เร่งรีบออกกำลังกายทันที ทั้งหมดก็เพื่อสุขภาพ กีฬาโปรดหนีไม่พ้นการว่ายน้ำและตีกอล์ฟ โดยเฉพาะอย่างหลังที่ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ หลงรัก

“พี่เล่นกอล์ฟแบบสนุกสนานนะ ไม่ใช่เล่นแบบเครียดๆ หลุมละเป็นหมื่นบาทพี่ไม่เล่น เล่นเอาเหงื่อมากกว่า” เสียงหัวเราะอีกครั้งจาก พล.ต.อ.ชัชวาลย์ พร้อมย้ำว่า เคยมีปัญหาเรื่องหัวเข่า แต่พอมาเล่นกอล์ฟก็จะได้เดินบ่อยขึ้นระหว่างหลุม อาการปวดเข่าก็หายไป

นอกจากออกกำลังกายในฐานะที่เป็นนายตำรวจยังสนใจเรื่องพระพุทธศาสนา แต่ไม่ถึงขนาดที่เป็นเซียนพระเครื่องอย่างเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจอย่าง “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีต ผบช.น. แต่จะศึกษาและมีหลวงพ่อคล้องคอ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจไว้เพียงไม่กี่องค์เท่านั้น

“อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะครบ 12 ปี ดีเอสไอ ผมจะสร้างเหรียญพระจำนวนหนึ่ง เพื่อเป็นบุญกุศลโดยจะมอบให้กับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และผู้ที่สนใจ ถ้าพี่ยังได้นั่งต่อนะ แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำ หวังว่าก็คงสำเร็จ อีกอย่างเพื่อให้ยึดเหนี่ยวคนในองค์กรให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย”พล.ต.อ.ชัชวาลย์ กล่าว

ทิ้งทวนบทสนทนาของ พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ จากใจของชายสีกากี ที่วันนี้มาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ของดีเอสไอ ย้ำชัดเจนว่า “ตราบเท่าที่ผมทำงานที่นี่อยู่ ตำแหน่งอื่นผมจะไม่คิดถึงมันดีเอสไอแบบเดิมจะไม่เอาแล้ว องค์กรต้องเป็นความหวังของประเทศได้ ต้องเดินหน้าอย่างที่ถูกที่ควร”

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี