ตำนานโรคร้อยเอ็ด
ผู้เขียนจะเขียนถึงเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศไทยจึงไม่ควรมีการเลือกตั้ง โดยจะนำเรื่องการซื้อเสียงในการเลือกตั้งซ่อมที่ร้อยเอ็ดเมื่อ พ.ศ. 2524 มาประกอบวิจารณญาณ
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
คนที่ชอบเลือกตั้งไม่ควรอ่านบทความวันนี้
เพราะผู้เขียนจะเขียนถึงเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศไทยจึงไม่ควรมีการเลือกตั้ง โดยจะนำเรื่องการซื้อเสียงในการเลือกตั้งซ่อมที่ร้อยเอ็ดเมื่อ พ.ศ. 2524 มาประกอบวิจารณญาณ
การเสียชีวิตของนายสมพร จุรีมาศ สส.เจ้าของพื้นที่ในเดือน พ.ค. พ.ศ. 2524 นำมาซึ่งการเลือกตั้งซ่อมในวันที่ 9 ส.ค.ปีเดียวกัน โดยมีคู่ชิงคนสำคัญ 2 คน คือ พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย ได้หมายเลข 9 กับ พ.ต.ท.บุญเลิศ เลิศปรีชา อดีตอัศวินยุค พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ รองหัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้หมายเลข 10 ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์อันเป็นตำนาน (ที่ไม่ค่อยดี) อยู่หลายเรื่อง
เรื่องแรก คู่ต่อสู้ต่างก็เป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ทั้ง พล.อ.เกรียงศักดิ์ ที่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ที่เชิญนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ออกเสียจากตำแหน่งนายกฯ “ในเปลือกหอย” เมื่อเดือน ต.ค. 2520 รวมทั้งหลังการเลือกตั้งในปี 2522 ก็ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา (ตอนนั้นรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 ให้ สส.และ สว.ร่วมกันเสนอชื่อนายกฯ ได้ เพราะอยู่ในยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่ สส.และ สว.มีอำนาจเท่าๆ กัน) ให้เป็นนายกฯ อีกรอบ ก่อนที่จะถูกเกมของยังเติร์กที่สนับสนุน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ บีบให้ออกจากตำแหน่งเพื่อให้ พล.อ.เปรม ขึ้นเป็นแทนในเดือน มี.ค. 2523 พล.อ.เกรียงศักดิ์ จึงน่าจะต้องการกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา ด้วยกำลังเชียร์ที่มหาศาลจากกลุ่มทุนและกลุ่มการเมือง จนถึงขั้นตั้งพรรคขึ้นสู้
ส่วน พ.ต.ท.บุญเลิศ เลิศปรีชา อาจจะไม่ได้มีตำแหน่งยิ่งใหญ่เท่า พล.อ.เกรียงศักดิ์ แม้ว่าในอดีตจะเคยเป็นนายตำรวจคนสำคัญที่ทำงานเคียงข้างคนใหญ่คนโตอย่าง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ เขยขวัญของหัวหน้าคณะปฏิวัติ พ.ศ. 2490 คือ จอมพลผิน ชุณหะวัณ พล.ต.อ.เผ่า เป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า “ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงนี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้” ก็เพราะได้อัศวินอย่าง พ.ต.ท.บุญเลิศ และคนอื่นๆ ช่วยกัน “สร้างบารมี” แต่ว่าในฐานะรองหัวหน้าพรรคกิจสังคมซึ่งเป็นแกนนำในรัฐบาลที่มี พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ ก็ต้องทุ่มทุนสู้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาศักดิ์ศรีเช่นกัน โดยเฉพาะความยิ่งใหญ่ของหัวหน้าพรรค คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลัง พ.ศ. 2528 อันเป็นปีที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ลาออกจากหัวหน้าพรรคกิจสังคม (หลังจากที่ตรากตรำกับการเมืองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2489 จนมีหนี้สินล้นพ้นตัว กระทั่งต้อง “เซ้ง” พรรคกิจสังคมออกไปจึงปลอดพ้นหนี้สินนั้น) แล้วก็เหมือนจะมีบทบาททางการเมืองน้อยลง คนรุ่นนี้จึงอาจจะไม่รู้จักถึงชื่อเสียงในสมัยก่อนนั้นของท่าน เช่น เป็นนักการเมืองปากกล้า เป็นปราชญ์และคอลัมนิสต์ชื่อดัง เป็นนายกรัฐมนตรีได้แม้จะมี สส.ในพรรคแค่ 18 คน เป็นเจ้าของตำรับเงินผัน ผู้เปิดประตูความสัมพันธ์ในยุคใหม่ระหว่างไทยกับจีน และที่สำคัญเป็นศิลปินมีฝีมือหลายแขนง เจ้าของบ้านทรงไทยอันโด่งดังในซอยสวนพลู ฯลฯ
แต่ใน พ.ศ. 2523 จนถึง พ.ศ. 2528 นั้น ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ได้ชื่อว่าเป็น “เสาหลักประชาธิปไตย” เพราะเป็นกำลังสำคัญในการ “ค้ำจุน” รัฐบาลของ พล.อ.เปรม ทั้งด้านรัฐสภาในฐานะหัวหน้าพรรคกิจสังคม และด้านพลังทางสังคมในฐานะผู้นำทางความคิดอันเกิดจากบารมีที่สั่งสมมากว่า 40 ปีนั้น การเลือกตั้งซ่อมครั้งนั้นจึงถือเป็นการ “วัดบารมี” ระหว่างนายทหารที่เพิ่งจะหัดเป็นนักการเมืองอย่าง พล.อ.เกรียงศักดิ์ กับนักการเมืองรุ่นครูอย่างท่านอาจารย์คึกฤทธิ์
เรื่องต่อมา การเลือกตั้งซ่อมที่ร้อยเอ็ดในครั้งนั้นเต็มไปด้วยนโยบาย “ขายฝัน” หลอกลวงประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเฉพาะในฝ่ายของหัวหน้าพรรคชาติประชาธิปไตย ที่ผู้เขียนจำได้แม่นก็คือ การบอกว่าถ้าชนะเลือกตั้งจะต่อเส้นทางรถไฟจากโคราชเข้ามาที่ร้อยเอ็ด หรือพอดีช่วงที่หาเสียงกันนั้นมีฝนตกหนักน้ำท่วมบ่าไหล ท่านก็บอกว่าถ้าได้กลับมาเป็นนายกฯ จะกั้นเขื่อนกั้นฝายเป็นระยะๆ ตั้งต้นลำชีลำมูล ไม่ให้มีน้ำท่วม จะมีก็แต่ข้าวปลาเต็มทุ่งเต็มท่า
33 ปีผ่านไปร้อยเอ็ดก็ยังไม่มีรถไฟ น้ำก็ยังท่วม
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าจะเป็นประวัติศาสตร์อันเดียวที่คนจำได้ทั่วประเทศก็คือ “ปรากฏการณ์โรคร้อยเอ็ด” ผู้เขียนจำได้ว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ทุ่มเทกับการหาเสียงครั้งนี้มาก ถึงขั้นเอารถที่ทำเป็นบ้านเคลื่อนที่ (Mobile Home) ขับตะลอนๆ ไปนอนทุกหมู่บ้าน เป็นเวลากว่า 40 วัน ตลอดเวลานั้นก็มีข่าวว่าสปอนเซอร์ฝ่าย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ทั้งพวกเหล้าพวกเบียร์และนักธุรกิจใหญ่ๆ ทุ่มทุนกันคนละเป็นสิบๆ ล้าน รวมกันน่าจะได้เกือบ 100 ล้านบาท มีการใช้ดาราจากละครทีวีเรื่องดาวพระศุกร์ออกมาแจกซองแก่ชาวบ้าน (โดยที่ดาราทุกคนอ้างว่าไม่ทราบว่าในซองเป็นอะไร) แม้กระทั่งข้าราชการและตำรวจก็มาช่วยกันแจก “ซอง” อย่างภาคภูมิใจ อย่างกะว่าได้ช่วยชาติ
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ถึงกับอุทานว่า “แพ้แน่ๆ”
ตั้งแต่นั้นผู้ที่หวังจะประสบชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วประเทศก็เอาเป็นแบบอย่าง ทั้งนี้ ก็ด้วยความหย่อนยานของกฎหมายและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แม้ พ.ร.บ.เลือกตั้ง พ.ศ. จะกำหนดให้ผู้สมัครใช้จ่ายค่าหาเสียงได้ไม่เกินคนละ 3.5 แสนบาท แต่ทั้งที่เห็นแจกเงินกันโจ๋งครึ่มก็ไม่มีใครจัดการ แถมเจ้าหน้าที่และตำรวจยังไม่เอาใจใส่ อย่างกรณีที่ร้อยเอ็ด พรรคกิจสังคมก็ได้ไปแจ้งความและมีรูปถ่ายเป็นหลักฐาน แต่ตำรวจก็บอกปัด แถมแบล็กเมล์กลับว่าพรรคกิจสังคมก็ซื้อ
ระบบที่ใช้เงินซื้ออำนาจทางการเมืองนี้ นักรัฐศาสตร์เรียกว่า “ธนาธิปไตย” แม้ภายหลังการปฏิรูปการเมืองในปี 2540 ได้มีความพยายามที่จะล้มล้างป้องกัน เช่น ให้มีคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีอำนาจเด็ดขาดและกระบวนการภาคประชาชนที่ตรวจสอบเข้มข้น นักการเมือง “ตระกูลตะกวด” ก็ไม่ลดละความพยายาม แทนที่จะซื้อเสียงเฉพาะการลงคะแนนในวันเลือกตั้ง ก็เป็นการ “ซื้อจิตวิญญาณ” แบบยกเข่งด้วยนโยบายประชานิยมและอภิมหาโปรเจกต์ใช้สิ่งเหล่านั้นมอมเมา สร้างความแตกแยกในบ้านเมือง จนต้องใช้ยาแรง “คสช.” ถอนรากถอนโคน
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์บอกว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ไม่ใช่จะสร้างขึ้นได้ง่ายๆ ท่านเคยเล่าเรื่องประเทศจีนสมัยที่เปลี่ยนมาเป็นสาธารณรัฐ ฝรั่งก็ตื่นเต้นเที่ยวถามคนจีนถึงความสนใจในการเลือกตั้ง แต่เราต้องทราบด้วยว่าคนจีนนั้นมักจะสับสนระหว่างตัวแอล (L) กับตัวอาร์ (R) เช่น เมื่อฝรั่งไปถามว่า How often have you the eLection? คนจีนที่ไม่คุ้นเรื่องเลือกตั้ง คุ้นแต่เรื่องกิจวัตรส่วนตัว จึงตอบไปว่า Every Morning. เพราะนึกว่าถามถึงเรื่อง eRection
ทำนองว่าข้ายังแกร่ง “สามารถ” อยู่ทุกๆ เช้า


