posttoday

อัซซูรี่เริงร่า! มาริโอ โขกนำเลี่ยนซิวชัย 2-1

15 มิถุนายน 2557

อิตาลี เอาชนะ "สิงโตคำราม" อังกฤษ ไปอย่างเฉียดฉิว 2 ประตูต่อ 1 ขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงในกลุ่ม ดี

ฟุตบอลโลก 2014 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มดี นักแรก
อังกฤษ - อิตาลี
สนามอารีน่า อมาโซเนีย,  มานาอุส
14 มิถุนายน 2014

เกมนัดแรกของกลุ่ม ดี และเป็นคู่ที่สามของวันนี้ "สิงโตคำราม" อังกฤษ อดีตแชมป์โลกเมื่อ 48 ปีที่แล้ว ภายใต้กานนำของกุนซือมากฝีมืออย่าง รอย ฮอดจ์สัน ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงสนาม นำทัพโดย สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เวย์น รูนีย์ บวกกับแข้งดาวรุ่งจาก ลิเวอร์พูลหลายคน ทั้ง รวมไปถึง ราฮีม สเตอร์ริ่ง

ขณะที่ "อัซซูรี่" อิตาลี ของ เซซาเร่ ปรันเดลรี่ แชมป์โลกสี่สมัย และรองแชมป์ยุโรปเมื่อสองปีที่แล้วจัดทัพชุดใหญ่ลงสนาม นำโดย อันเดรีย ปิร์โล่ และ มาริโอ บาโลเตลลี่ แต่ก่อนลงสนามพวกเขาต้องพบข่าวร้ายเมื่อ จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ยังมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ ปรันเดลลี่ ต้องส่ง ซัลวาตอเร่ ซิริกู ลงมาเฝ้าเสาแทน

วันนี้ทั้งสองทีมต่างอยู่ในชุดเก่งของพวกเขาเอง โดย อังกฤษอยู่ในชุดขาวล้วน ส่วน อิตาลี อยู่ในสีเสื้อน้ำเงินล้วน

เริ่มเกมมาเป็น อิตาลี ที่เป็นฝ่ายเขี่ยลูกเริ่มเล่นก่อน โดยบุกจากขวาไปซ้าย

เปิดฉากมา อิตาลี เริ่มทักทายก่อน โดยอาศัยการวางยาวจากแดนหลังคอยกดดันแนวรับ อังกฤษ ได้พอสมควร

แต่หลังจากนั้นอีกไม่กี่อึดใจ กลับเป็นแข้งเมืองผู้ดีที่มีโอกาสลุ้นทำประตูก่อน จากจังหวะที่ ราฮีม สเตอร์ริ่ง ได้บอลตรงกลางสนาม ก่อนจะตัดสินใจยิงด้วยเท้าขวา บอลพุ่งเข้าข้างหน้าต่างทำเอาแฟนๆ "สิงโตคำราม" เฮเก้อทั้งโลก

อิตาลี บุกขึ้นมาบ้าง และเกือบจะได้ลุูกที่จุดโทษ เมื่อ ปิร์โล่ ยกบอลฝ่าแนวรับ อังกฤษ ในกรอบเขตโทษ บอลเหมือนจะไปโดนมือของ เกล็น จอห์นสัน แต่ผู้ตัดสินยังไม่ว่าอะไร

นาทีต่อมา อังกฤษ ได้ลุ้นเสียวอีกครั้ง จากมิดฟิลด์อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่วิ่งมากดเต็มข้อ แต่ ซัลวาตอเร่ ซิริกู ยังพุ่งมาปัดได้อย่างหวุดหวิด

ผ่านไปสิบนาที แดนนี่ เวลเบ็ค ฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของ กาเบรียล ปาเล็ตต้า ก่อนจะยิงบอลพุ่งหลุดกรอบออกหลังไป

ห้านาทีต่อมา เกล็น จอห์นสัน ได้โอกาสพาบอลตัดในก่อนซัดด้วยซ้าย แต่บอลยังไม่เข้าเป้า

อิตาลี ที่เป็นฝ่ายครองบอลมากกว่า เริ่มหาโอกาสทำประตูบ้าง เมื่อ มาริโอ บาโลเตลลี่ ลองยิงไกล บอลนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ โจ ฮาร์ท ทำให้แฟนๆ อังกฤษ หวาดเสียวด้วยการรับกระฉอก ยังดีที่ไม่มีแข้ง "อัซซูรี่" มาตามซ้ำ

อังกฤษไม่มีโชคเมื่อเจอร์ราร์ด ไหลให้ สเตอร์ริ่ง ที่วิ่งไปถึงสุดเส้นหลังปาดบอลกลับมาในกรอบ 6 หลา แต่ แดนนี่ เวลเบ็ค มาตรงจุดนัดพบช้าไปนิดเดียว

ผ่านมาครึ่งทางในครึ่งแรก อังกฤษ น่าจะได้ประตูขึ้นนำแบบสุดๆ เมื่อ เวลเบ็ค พาบอลไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจ่ายบอลยัดเข้ากลาง บาซาญี่ เหยียดขาสกัดบอลปลิ้นเกือบเข้าประตูตัวเอง

นาทีที่ 25 อังกฤษได้ลูกเตะมุม เบนส์ ปั่นโค้งด้วยซ้ายเข้ามา ซิริกู รับหลุด แต่ยังตามมาตะครุบในจังหวะสองได้

แม้ อังกฤษ จะมีโอกาสยิงประตูมากกว่า แต่รูปเกมส่วนใหญ่ยังเป็น อิตาลี ที่เก็บบอลและครองเกมได้เหนือกว่า

และในที่สุด อิตาลี ก็มาประสบความสำเร็จจากจังหวะลูกเตะมุม อันโตนิโอ คันเดรว่า เปิดออกมานอกกรอบให้ อันเดรีย ปิร์โล่ แต่กัปตันทีมรายนี้กลับวิ่งหลอกข้าม บอลเลยมาถึง มาร์คิซิโอ ก่อนที่ดาวเตะจากยูเวนตุส จะกดเต็มข้อบอลบอลพุ่งเสียบตุงตาข่าย อิตาลี ออกนำ 1-0

แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสองนาที แฟนๆ อังกฤษ ได้เฮกันลั่น เมื่อ เวย์น รูนีย์ รับบอลทางฝั่งซ้ายกระชากบอลหนีแนวรับ อิตาลี ก่อนจะเปิดบอลเข้ามาให้ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ พุ่งชาร์จจ่อๆ ไม่เหลือ อังกฤษตีเสมอได้สำเร็จ 1-1

ช่วงท้ายครึ่งแรก อิตาลี พลาดการได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง เมื่อ ปิร์โล่ จ่ายคิลเลอร์พาสฉีกแนวรับ อังกฤษ ให้ บาโลเตลลี่ รับบอลในกรอบก่อนจะแตะหนี โจ ฮาร์ท และชิพบอลข้ามนายทวาร อังกฤษ อย่างเหนือชั้น บอลทำท่าว่าจะข้ามเส้นไปแล้ว แต่ ฟิล จากีลก้า สปีดมาโขกข้ามคานออกหลังไปได้อย่างเหลือเชื่อ

เริ่มครึ่งหลังมาไม่ทันไร อังกฤษ ได้โอกาสลุ้นประตูที่สอง เมื่อ สเตอร์ริดจ์ ลากบอลมาถึงตรงกลางก่อนยิงด้วยซ้ายข้างถนัด บอลพุ่งไปติดเซฟ ซิริกู อีกครั้ง

นาทีที่ 50 อิตาลี มาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้ง จากจังหวะที่ คันเดรว่า เปิดบอลจากด้านข้างเข้ามาให้ บาโลเตลลี่ ที่สลัดหนีตัวประกบขึ้นเทคตัวโขกระยะไม่ถึง 3 หลาเข้าไป หมดสิทธิ์เซฟสำหรับ โจ ฮาร์ท อิตาลี นำ 2-1

เกมดำเนินมาถึงหนึ่งชั่วโมงแรก เวย์น รูนีย์ เกือบจะแผลงฤทธิ์ จากจังหวะเช็คล้ำหน้าพลาดของแนวรับ "อัซซูรี่" ก่อนจะพลิกหนีตัวประกบสุดสวย แต่ทว่าเจ้าตัวกลับซัดเฉียดเสาออกไปอย่างน่าเสียดายสุดๆ

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ รอส บาร์คลีย์ ตำสำรองที่ถูกส่งลงมานั้นได้โอกาสโยกหนีแนวรับ ก่อนซัดไปที่เสาไกล แต่ ซิริกู บินมาปัดได้อย่างทันควัน

ผ่านไป 65 นาที อังกฤษ ยังคงเดินหน้าบุกหนักหวังจะทำประตูตีเสมอให้ได้ แต่ยังขาดความเด็ดขาดในแดนหน้า

นาทีที่ 68 อันโตนิโอ คันเดรว่า ที่เกมนี้เด่นจริงๆ ได้โอกาสยิงหลุดกรอบออกหลังไปแบบได้ฮือฮา

นาทีที่ 77 อังกฤษ ได้ฟรีคิกระยะอันตราย เลย์ตัน เบนส์ รับหน้าที่สังหารด้วยเท้าซ้าย บอลกำลังจะพุ่งเสียบเสา แต่ยังคงเป็น ซิริกู คน เดิมที่เซฟช่วยชีวิตอดีตแชมป์โลกสี่สมัยไว้อีกครั้ง

ช่วงห้านาทีท้าย อังกฤษ ได้ฟรีคิกระยะ 20 หลา แต่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยิงช้อนใต้บอลพุ่งข้ามคายไปอย่างน่าเสียดาย

หลังจากนั้นไม่ถึงนาที รอส บาร์คลีย์ พาบอลเลี้ยงจี้ไปหน้าปากประตู ก่อนที่ เวย์น รูนีย์ จะยิงด้วยซ้ายขึ้นไปบนอัฒจรรย์แบบไม่ได้ลุ้น

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ อิตาลีเกือบจะได้ประตูตอกฝาโลงจากลูกยิงฟรีคิกของ อันเดรีย ปิร์โล่ บอลนั้นติดไซด์ทำเอา โจ ฮาร์ท ขาตายไปแล้ว แต่บอลดันพุ่งไปติดคานเด้งออกหลังไป

หลังจากนั้นไม่มีทีมไหนทำประตูเพิ่มได้ ผู้ตัดสินเป่านกหวีดจบเกมจบเกม อิตาลี เอาชนะ "สิงโตคำราม" อังกฤษ ไปอย่างเฉียดฉิว 2 ประตูต่อ 1 ขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงในกลุ่ม ดี ส่วน อังกฤษรั้งรองบ๊วยของตาราง


รายชื่อนักเตะที่ลงสนาม

อังกฤษ
1.โจ ฮาร์ท 2.เกล็น จอห์นสัน 3.เลย์ตัน เบนส์ 4.สตีเว่น เจอร์ราร์ด 5.ฟิล จากีลก้า 6.แกรี่ เคฮิลล์ 9.แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 10.เวย์น รูนีย์ 11.แดนนี่ เวลเบ็ค 14.จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 19.ราฮีม สเตอร์ริ่ง

ผู้จัดการทีม : รอย ฮอดจ์สัน

อิตาลี
12.ซัลวาตอเร่ ซิริกู 3.จอร์โจ้ คิเอลลินี่ 4.มัตเตโอ ดาร์เมียน 6.อันโตนิโอ คันเดรว่า 8.เคลาดิโอ มาร์คิซิโอ 9.มาริโอ บาโลเตลลี่ 15.อันเดรีย บาร์ซาญี่ 16.ดานิเอเล่ เด รอสซี่ 20.กาเบรียล ปาเล็ตต้า
21.อันเดรีย ปีร์โล่ 23.มาร์โก แวร์รัตติ

ผู้จัดการทีม : เซซาร์ ปรันเดลลี่

ผู้ตัดสิน : บียอร์น ไคยเปอร์ (เนเธอร์แลนด์)

ข่าวล่าสุด

อีลอน มัสก์ สร้างสถิติเป็นคนแรกของโลกที่รวยเกิน 700,000 ล้านดอลลาร์