ประชาธิปไตยแบบพุทธ
ประชาธิปไตยตะวันตกเป็นประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ประชาธิปไตยแบบพุทธเป็นประชาธิปไตยแบบฉันทามติ
ประชาธิปไตยตะวันตกเป็นประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ประชาธิปไตยแบบพุทธเป็นประชาธิปไตยแบบฉันทามติ
เราอาจจะไม่ได้สังเกตกระบวนการประชาธิปไตยที่ว่านี้ เวลาไปทอดกฐิน เมื่อเอาผ้ากฐินตั้งไว้ก็จะมีพระรูปหนึ่งตั้งกระทู้ถามว่า ที่ประชุมสงฆ์เห็นว่าผ้ากฐินนี้ควรจะตกเป็นของพระภิกษุรูปใด เสร็จแล้วจะมีผู้เสนอว่าควรตกเป็นของพระรูปใด เมื่อเสนอแล้วก็จะถามที่ประชุมสงฆ์ว่าเห็นด้วยไหม
ต่อเมื่อพระสงฆ์ทั้งหมดอนุโมทนา ก็เป็นไปตามมติที่เป็นฉันทามติ ถ้ามีพระภิกษุค้านแม้แต่รูปเดียว กฐินนั้นจะตก และเคยเกิดเรื่องแบบนี้เมื่อพระยาศราภัยพิพัฒน์บวชและค้านญัตติสงฆ์
ทางพุทธนิยมประชาธิปไตยแบบเอกฉันท์ ไม่นิยมเพียงเสียงข้างมาก เพื่อป้องกันการแตกความสามัคคี ทางพุทธนิยมการใช้ปัญญา ไม่นิยมการใช้อำนาจ การเอาเสียงข้างมากชนะเสียงข้างน้อยก็เป็นการใช้อำนาจอยู่ดี นำไปสู่การแตกความสามัคคีได้ เพราะเสียงข้างน้อยที่แพ้ให้ก็ใช่ว่าจะยอมรับ การที่ยังเห็นไม่ตรงกัน แสดงว่ายังไม่ได้ทำความเข้าใจกันเพียงพอ
การแบ่งข้าง เป็นข้างชนะกับข้างแพ้ หรือฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ไม่ใช่วิถีคิดแบบพุทธ ทางพุทธไม่คิดแบบแบ่งข้างแบ่งขั้วตายตัว แต่คิดเชิงความเป็นอนิจจังที่มีเหตุปัจจัยหนุนเนื่อง หรือกระบวนการแห่งเหตุผล ความเป็นเหตุเป็นผลนี้บางทีท่านเรียกว่าธรรมะ บางทีเรียกว่าทางสายกลาง ทางสายกลางเป็นทางสายปัญญาที่เห็นความเป็นเหตุเป็นผล
วิทยาศาสตร์เก่าและฝรั่งนั้นคิดแบบตายตัว จึงแยกส่วน แบ่งข้างแบ่งขั้ว ระบบการเมืองที่แบ่งข้างแบ่งขั้วก็มาจากวิธีคิดแบบตายตัว ซึ่งล้าสมัยแล้ว แม้ฝรั่งที่ว่าเจริญแล้วใจกว้างแบ่งข้างแบ่งขั้วก็ไม่เป็นไร ก็อาจไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะเราเห็นการหาเสียงแบบสาดโคลนเข้าใส่กันอย่างสกปรก ในอเมริกา นิกสัน ส่งคนไปดักฟังการประชุมของพรรคเดโมแครตจนเกิดเรื่องเกิดราวใหญ่โต เราเห็นพรรคตรงข้ามพยายามบล็อกงานที่ดีๆ ของประธานาธิบดีในอเมริกา จนต้องปิดการทำงานของรัฐบาลก็มี
ประชาธิปไตยแบบเอกฉันท์มีตัวอย่างไหม ...มี ที่เรียกว่าประชาธิปไตยชุมชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยทางตรง คนในชุมชนเขาคุยกันจนเห็นด้วยกันทั้งหมด ไม่มีทะเลาะกัน เป็นประชาธิปไตยสมานฉันท์ และเป็นประชาธิปไตยอรรถประโยชน์ หรือประชาธิปไตยที่สร้างสรรค์
มีคำถามก็คือ ประชาธิปไตยขนาดใหญ่กว่าประชาธิปไตยชุมชน คือ ระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ จะมีประชาธิปไตยแบบเอกฉันท์ได้หรือไม่
ในประเทศตะวันตก เนื่องจากข้อจำกัดของประชาธิปไตยเสียงข้างมาก มีผู้พยายามคิดกระบวนการประชาธิปไตยเอกฉันท์ที่เรียกว่า Deliberative Democracy หรือประชาธิปไตยแบบพิจารณาไตร่ตรอง โดยได้มีการทดลองนำคนที่ไม่รู้จักกันเลยมาประชุม และให้ออกความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เมื่อเริ่มต้นความเห็นจะแตกต่างหลากหลายกันไป แต่เมื่อมีการทยอยนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ เข้าสู่ที่ประชุมเป็นลำดับๆ ไป ปรากฏว่าความเห็นเปลี่ยนไปจนไปสู่มติที่เป็นเอกฉันท์ได้ แสดงว่าการมีข้อมูล ใช้ความรู้ ใช้เหตุผล พิจารณาไตร่ตรอง ทำให้เกิดมติเป็นเอกฉันท์ได้ นั่นก็คือกระบวนการทางปัญญานั่นเอง
เมื่อผมเป็นหัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ที่ศิริราช ซึ่งเป็นภาควิชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในการประชุมภาควิชา ผมไม่เคยให้อาจารย์โหวตสักครั้งเดียว เพราะผมไม่อยากให้อาจารย์แตกความสามัคคี ให้คุยกันจนจับประเด็นและความรู้สึกได้แล้วผมรับไปทำ
ในการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คณะกรรมการโหวตและไม่มีการยอมรับกัน จนเป็นข่าวออกไป และสื่อมวลชนเริ่มเข้ามาลงข่าวว่าเป็นศึกสายเลือดอะไรต่ออะไรไปใหญ่โต เมื่อผมได้รับมอบจากสภามหาวิทยาลัยให้ไปเป็นประธานคณะกรรมการสรรหาชุดนั้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ผมเสนอคณะกรรมการว่าเราใช้ประชาธิปไตยแบบพุทธเถิด เราอย่าไปโหวตเอาชนะคะคานกันเลย ปรึกษาหารือกันจนเป็นเอกฉันท์ เรื่องก็เรียบร้อยดี ผมก็แถลงกับสื่อว่าไม่มีศึกสายเลือดหรืออะไรเลย คณะกรรมการสรรหาเห็นด้วยกันเป็นเอกฉันท์
เรามักจะนึกว่าโหวตๆ เป็นของดี เป็นประชาธิปไตย ที่จริงการโหวตคือการหยุดการใช้เหตุผลแล้วว่าฉันจะเอาอย่างนี้แหละ เป็นการใช้อำนาจชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเสียงข้างมากเป็นของดี แต่ก็นำไปสู่การแตกความสามัคคีได้
การคุยปรึกษาหารือกันจนเกิดความเป็นเอกฉันท์ เป็นกระบวนการทางปัญญา มีเมตตาธรรม และขันติธรรมเป็นตัวประกอบ จึงเป็นประชาธิปไตยสมานฉันท์ และนำไปสู่ความสร้างสรรค์กว่ากันมาก
พระพุทธเจ้าสอนว่า ใครพูดอะไร เธออย่าเพิ่งรับ หรือปฏิเสธ แต่นำไปไตร่ตรองด้วยปัญญาเสียก่อน การพูดสวนกันเปรี้ยงปร้างเป็นการตื้นเขิน ขาดการไตร่ตรองทางปัญญาอย่างลึกซึ้ง อะไรที่ตื้นมักแยกส่วน อะไรที่ลึกมักเชื่อมโยง
ขณะนี้มีสิ่งที่เรียกว่า U Theory (ทฤษฎีรูปตัวยู) โดย ออตโต ชาร์มเมอร์ ที่อยู่ในกลุ่มของ ปีเตอร์เซงเง่ ที่เอ็มไอที ที่ว่าเมื่อรับรู้อะไรมาอย่าเพิ่งมีปฏิกิริยาออกไปทันที ให้ดึงมาพิจารณาอย่างเงียบๆ นั่นคือลงมาตามขาหน้าของตัวยู ไตร่ตรองดูอย่างลึกซึ้งผ่านกระบวนการทางสติทางปัญญาเสียก่อนแล้วจึงทำ นั่นเป็นที่มาของรูปตัวยู U ก้นของตัวยู คือ โยนิโสมนสิการด้วยสติ เมื่อผ่านกระบวนการทางปัญญา วจีกรรมหรือกายกรรมที่ออกไปก็สมเหตุสมผล ลึกซึ้ง ประณีต เชื่อมโยง ไม่ก้าวร้าว เป็นปฏิปักษ์ ซึ่งไม่สมเหตุสมผล
ประชาธิปไตยแบบพุทธ จึงเป็นประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยสติและปัญญา เป็นประชาธิปไตยสมานฉันท์ และประชาธิปไตยอรรถประโยชน์ การแบ่งข้างแบ่งขั้วกันแบบตายตัวทางการเมืองมาจากพื้นฐานของการคิดแบบตายตัว จึงแยกส่วน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในพุทธทัศนะ และตามวิทยาศาสตร์ใหม่
การต่อสู้ทางการเมืองในประเทศไทยในระยะเวลา 100 ปีที่ผ่านมา หรือที่จริงก็ก่อนหน้านั้นอีก อยู่บนการคิดเชิงปฏิปักษ์ ว่าเราถูกเขาผิด และต้องทำลายฝ่ายตรงข้าม ความคิดเชิงปฏิปักษ์ ไม่ว่าจะคิดว่ามีเหตุผลที่ดีของฝ่ายตนเท่าใดๆ ก็เป็นการคิดแบบตายตัวและแยกส่วน การคิดแบบนี้ได้นำเราเข้ามาสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองปัจจุบันที่ไม่มีทางออก การเปลี่ยนวิถีคิดเป็นเรื่องยาก แต่เราไม่เคยสนใจวิธีคิดแบบพุทธ ซึ่งต่างจากวิธีคิดแบบโลกๆ ในปฐมเทศนาที่เรียกว่า ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ประโยคแรกท่านก็ประกาศหลักคิดที่สำคัญแล้วว่า “ส่วนสุดทั้งสองภิกษุไม่ควรเสพ”
“ส่วนสุด” (อันตา) หมายถึง สุดโต่ง (Extremes) ซึ่งเกิดจากการคิดแบบตายตัว เมื่อตายตัวจึงแยกส่วน เมื่อแยกส่วนจึงสุดโต่ง การปฏิเสธส่วนสุดทั้งสองจึงเป็นที่มาของมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นเส้นทางสายปัญญา ประกอบด้วย เมตตา ขันตี และสามัคคีธรรม
ความเจริญแบบฝรั่งก็มีอะไรดีๆ ที่เราควรเรียนรู้ แต่ไม่ควรเอาอย่างไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะการคิดแบบแยกส่วน และทำแบบแยกส่วน ซึ่งจะนำไปสู่วิกฤตเสมอ ลองหันมาทำความเข้าใจภูมิปัญญาทางพระพุทธศาสนากันบ้าง
ประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลานจนจะฆ่ากันตายเป็นเบือนั้น ถ้าเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ ซึ่งเน้นสุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี และสามัคคีธรรม จะเป็นสันติวรบทแตกต่างกันขนาดไหน


