เปิดใจว่าที่ผบช.น.คนใหม่"เสื้อสีไหนก็จับติดคุกมาแล้ว"
ขัดแย้งกันได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากละเมิดแล้วผมไม่ยอม สีไหนก็ไม่ยอม เสื้อแดง ผมก็จับ
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ
ชีวิตข้าราชการตำรวจ ได้พาหนุ่มใหญ่วัย 56 ปี อย่าง “บิ๊กเทพ” พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ. 5) นายตำรวจที่คลุกคลีอยู่กับประชาชนภาคเหนือมาเกือบทั้งชีวิต ผันมาสู่เก้าอี้ “น.1” ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) คนใหม่แทนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
ไม่ว่าเหตุผลของการโยกย้ายครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แต่นาทีนี้สังคมต่างจับจ้องบทบาทของ พล.ต.ท.สุเทพ อย่างใกล้ชิด
“โพสต์ทูเดย์” บินตรงสู่ จ.เชียงใหม่ นัดเปิดใจ “พล.ต.ท.สุเทพ” ที่ห้องทำงานที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
“ผมไม่ได้เก่งอะไรมาก” พล.ต.ท.สุเทพ ออกตัว “อยู่ที่ไหนผมก็ทำงานได้ เพราะผมทำจริง ใกล้ชิดประชาชนจริง”
หน้าที่ที่ พล.ต.ท.สุเทพ ได้รับมอบหมายคือต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนเกิดความสงบสุข
“ประชาชนคือเจ้านายของผม ไม่ใช่ใครอื่น”นายตำรวจรายนี้กล่าวจริงจัง
ด้วยคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการยังไม่ปรากฏ พล.ต.ท.สุเทพ จึงไม่ขอพูดถึงการโยกย้ายในครั้งนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ พล.ต.ท.สุเทพ ยืนยันได้อย่างมั่นใจ
“ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครดีกว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผบช.น. คนปัจจุบัน ที่กล้าแกร่งคุมตำรวจนครบาลและสถานการณ์การเมืองที่เข้มข้นในขณะนี้”
อย่างไรก็ดี หากคำสั่งมีออกมาก็พร้อมเก็บของย้ายไปทำงานได้ทันที ไม่มีข้อขัดข้อง
พล.ต.ท.สุเทพ อธิบายถึงแนวทางการทำงานในฐานะผู้บังคับบัญชาว่า การทำงานของตำรวจต้องได้หัวใจของตำรวจ
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องปัญหายาเสพติด เมื่อ 3 ปีก่อนภาคเหนือมีขบวนการขนยาเสพติดผ่านด่านเข้ามามาก ด่านชั่วคราวและด่านถาวรไม่เข้มแข็ง พอเข้ามาเป็นผู้บังคับบัญชาก็พบว่าเป็นเพราะลูกน้องอยู่กันอย่างลำบาก ตำรวจที่ด่านไม่มีงบประมาณ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร 3 มื้อ ต้องหาเงินมาจ่ายเอง ที่สุดแล้วตำรวจที่ไปอยู่ด่านก็เป็นคนแก่ใกล้เกษียณ ประสิทธิภาพการทำงานก็ไม่ได้อย่างที่ต้องการ
“ผมก็ปรับใหม่ทั้งหมด ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นจากนี้ ผู้บัญชาการจะหาเงินมาจ่ายให้เอง แต่ผมก็ไม่มีเงิน อีกทั้งถ้าเอาเงินส่วนตัวไปจ่ายให้ก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหา ผมก็ไปบอกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) อธิบายให้เห็นภาพถึงปัญหา และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามมาหากมีการปรับปรุง”
“ท่านก็อนุมัติมาทันที แล้วก็ผลักดันคนหนุ่ม โสด เข้าไปทำงานที่ด่าน เน้นขยันขันแข็ง กำชับแกมบังคับห้ามรีดไถ เราก็ได้ใจเขาเพราะผมให้เขาก่อนเขาก็ทำงานเต็มที่”
นอกจากหัวใจของลูกน้องแล้ว การทำงานในพื้นที่ต้องลงไปคลุกคลีกับประชานจนเป็นเนื้อเดียวกัน
ผบช.ภ.5 ขยายความว่า ความใกล้ชิดของประชาชนกับตำรวจถือว่ามีความสำคัญในการทำงานเพื่อรักษาความเรียบร้อยของบ้านเมืองอย่างมากที่สุด มากกว่างานนโยบายอะไรต่างๆ เพราะความร่วมมือจากประชาชนจะนำไปสู่ความลุล่วงของงานทุกอย่าง
“บางเรื่องบางราวการจับกุมหรือการบังคับใช้กฎหมาย เราก็ต้องดูตามความเหมาะสม หากจับไปแล้วคนเดือดร้อนและหากไม่จับก็ถือว่าละเว้น ก็ต้องมีการพูดคุยทำความเข้าใจ และที่สำคัญตำรวจต้องมองต้องแยกแยะให้ได้ว่าสิ่งไหนคืออะไร มีนัยอะไรบ้าง เช่น การเล่นไพ่ในงานศพ ต้องทำความเข้าใจว่าเล่นการพนันในงานศพไม่ได้นะ มันผิดกฎหมาย หากไม่มีใครเฝ้าศพ ผมยินดีส่งตำรวจไปเฝ้าให้เลย ไม่ต้องมาอ้างว่ามีคนเฝ้าศพเขาก็ต้องเล่นไพ่เป็นธรรมดา”
ทั้งหมดคือสิ่งที่ทำให้นายตำรวจอย่าง พล.ต.ท.สุเทพ เติบโตขึ้นมา แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้จบจากนักเรียน นายร้อยตำรวจ แต่สิ่งที่ถูกปลูกฝังเมื่อเข้ารับราชการ ตั้งแต่วันแรกที่แต่งเครื่องแบบ คือ การรับใช้ประชาชน
ในวันนี้ แม้ว่า พล.ต.ท.สุเทพ จะไม่เอ่ยปากถึงการโยกย้าย แต่สิ่งที่บิ๊กตำรวจจากภาคเหนือรายนี้ทิ้งท้ายเอาไว้ น่าสนใจยิ่ง
“ข้อครหาที่ว่าอาจจะได้นั่ง น.1 หรือไม่ได้นั่งก็ตาม มันเป็นเรื่องของอนาคต แต่ตัวผมอยู่กับความเป็นจริง อยู่กับการทำงาน เหมือนกับเราเป็นคนจนก็ต้องอยู่แบบคนจน อย่าไปทำตัวรวย ตอนนี้ผมยังอยู่ที่แห่งนี้ก็ยังต้องทำงานในที่ตรงนี้ อายุราชการที่เหลืออีก 4 ปี ก็ไม่ได้หวังอะไรแล้ว ทำงานมานานขนาดนี้ก็เต็มที่หมดทุกอย่าง แล้วแต่ชีวิตราชการจะให้ไปทำตรงไหน”
“หลายคนมองว่าผมก้าวมาถึงขณะนี้ แม้ไม่ได้จบจากนักเรียนนายร้อยตำรวจ หรือที่บอกว่าผลงาน โดดเด่นนั้น ผมไม่เคยมองว่ามันคือความสำเร็จ ผมมองว่าเป็นความลุล่วงในภารกิจมากกว่า เพราะผมไม่รู้ว่าความสำเร็จคืออะไร เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายมาแล้วทำได้ลุล่วงผ่านไปด้วยดีก็เพียงพอ การไปจับโจรได้หรือปราบปรามอะไรได้ มันไม่ใช่ความสำเร็จนะ แต่มันคือการทำงานที่สมบูรณ์”
ถามว่า พล.ต.ท.สุเทพ เป็นตำรวจแบบไหน?
“ผมเป็นได้ทุกอย่างตามสถานการณ์นั้นๆ หากจะดุก็ต้องดุ หากจะเข้มมันก็ต้องเข้มเหมือนกัน เรื่องอ่อนเรื่องยอมต้องมีเหตุผล ตำรวจต้องได้ทุกบทบาท แต่ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่าต้องเล่นบทไหน ใช้วิธีอย่างไร นั่นคือวิธีการทำงานของผมเอง”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะก้าวเข้าสู่หัวแถวกองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่หากดูจากประวัติที่ไม่ธรรมดาของ พล.ต.ท.สุเทพแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของเขา
นับตั้งแต่ออกจากบ้านเกิด ที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อครั้งจบชั้น มศ.5 พล.ต.ท.สุเทพ เข้าศึกษาต่อวิชากฎหมายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อจบแล้วเข้ารับราชการตำรวจโดยเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอบรมพิเศษ รุ่นที่ 9
พล.ต.ท.สุเทพ ระลึกความหลังด้วยเสียงหัวเราะ “เพียงแค่อยากมีงานทำ ไม่ได้ตั้งใจจะมารับราชการหรอก แต่ก็มีแวบหนึ่งที่เคยไปสอบเตรียมทหารนะ แต่ส่วนสูงไม่ถึงตัวเล็กเกินไป”
จบการอบรมหนุ่มใต้ก็เข้าสู่สนามผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ภาคเหนือทันที เริ่มด้วยตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ก่อนขยับมาเป็นหัวหน้า สภ.สบตุ๋ย อ.เมือง จ.ลำปาง ทำงานเรื่อยมาในแวดวงด้านสืบสวนและปราบปรามเป็นหลัก ก้าวเข้าสู่สารวัตรใหญ่ สภ.พบพระ จ.ตาก
ก่อนจะย้ายกลับมาที่ จ.ลำปาง อีกครั้งในตำแหน่งรองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สภ.เมือง ต่อมาได้ย้ายมาเป็นรองผู้กำกับการ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ กระทั้งขยับมาเป็นผู้กำกับการกำกับสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5
วนเวียนในราชการตำรวจของภาคเหนือโดยตลอด ก่อนจะผกผันเข้าสู่กรุงเทพมหานครครั้งหนึ่ง หลังจากมีการปฏิวัติเมื่อปี 2549 โดยเป็นรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ก่อนจะมีโอกาสกลับภาคเหนืออีกครั้ง ในตำแหน่งล่าสุด คือ ผบช.ภ.5
ชีวิตโลดโผนในภาคเหนือเป็นหลัก เรียกว่ารู้ทุกซอกทุกซอยใน 8 จังหวัดภาคเหนือไม่น้อยไปกว่าใคร
“ที่ภาคเหนือมันมีปัญหาอยู่ไม่กี่อย่างหรอก ยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่ ที่เหลือก็รองลงมา อาชญากรรม ยิ่งการเมืองไม่มีปัญหาเลย คุยกันได้ ทุกฝ่ายเข้าใจกันดี สำหรับผมจะขัดแย้งกันได้ เพราะต่างความคิดกัน แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย หากละเมิดแล้วผมไม่ยอม สีไหนก็ไม่ยอม เสื้อแดง ผมก็จับติดคุกมาแล้ว เสื้อเหลืองผมก็จับเช่นกัน ดังนั้น ทุกคนต้องอยู่ในกติกาเดียวกันทั้งหมด”
“หรือเรื่องความรุนแรงในช่วงเลือกตั้ง ผมรู้ว่าใครเป็นใคร ซุ้มมือปืนภาคเหนือมีใครบ้าง ใครเป็นมือปืนให้ใคร ดังนั้นก่อนการเลือกตั้งแต่ละครั้งก็จะเรียก “มือปืน” หรือ “เจ้าของซุ้ม” มาพูดคุย ขอร้องอย่ารับงานฆ่า หรือไปทำอะไรผิดกฎหมายเด็ดขาด”
“เขาก็ให้ความร่วมมือดี มาพูดคุย ผมเรียกให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน และขอร้องอย่างดีๆ พูดดีด้วย ส่วนใหญ่เขาก็ฟัง แต่บางส่วนก็แข็งขันก็มี แต่นั่นคือผมเตือนแล้วนะ หากไม่ฟังผม หรือไปเล่นนอกเกม ถึงตอนนั้นจะมาว่าผมไม่ได้เด็ดขาด เพราะถือว่าขอกันแล้ว”พล.ต.ท.สุเทพ ย้ำอีกครั้ง
นี่คือว่าที่ ผบช.น. ที่ทุกคนฝากความหวัง


