พม่าเร่งพัฒนา"เมียวดี"เมืองคู่แฝดแม่สอด

โดย...อัศวิน พินิจวงศ์

เมืองชายแดนที่น่าจับตาที่สุดขณะนี้ ไม่มีที่ไหนเกินแม่สอด จ.ตาก ผลพวงจากการปฏิรูปประเทศของพม่าทำให้การค้าขายชายแดนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างรวดเร็ว ยิ่งการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 ก็ยิ่งทำให้แม่สอดเนื้อหอมสำหรับนักลงทุนอย่างยิ่ง มูลค่าที่ดินแม่สอดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน

ขณะที่ฝั่งพม่า เมืองเมียวดีเองก็มีการเร่งพัฒนาเช่นกัน ทั้งในส่วนของภาคราชการและประชาชนทั่วไป มีการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ๆ ของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชน ทั้งโรงแรม สถานบริการ อาคารพาณิชย์ ทำให้ที่ดินในกลางเมืองศูนย์กลางย่านธุรกิจมีราคาสูงมาก นอกจากนี้รัฐบาลพม่ายังมีการปรับปรุงระบบคมนาคม โลจิสติกส์ และการวางผังเมือง รองรับความเจริญทางเศรษฐกิจ สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน AEC เมืองคู่แฝดนครแม่สอด และประตูสู่อันดามัน

สุชาติ ตรีรัตน์วัฒนา ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผยว่า รัฐบาลพม่ามีการยกระดับจังหวัดเมียวดีให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ-นิคมอุตสาหกรรมและเมืองคู่แฝด กับ “นครแม่สอด” ประกอบกับ พล.อ.เต็งเส่ง ประธานาธิบดีแห่งพม่า ได้เป็นประธานอาเซียน ทำให้มีการพัฒนาประเทศอย่างมากมายทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่เออีซี ซึ่งรัฐบาลพม่ามีแผนจะยกระดับจังหวัดเมียวดีเป็นเมืองหน้าด่านทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและศูนย์รวมวัฒนธรรม ประตูอาเซียนคู่แฝดกับนครแม่สอด

“มีการพัฒนาเมืองอย่างมากมาย มีนักธุรกิจพม่ามาลงทุน ก่อสร้างโครงการใหญ่ๆ มากมาย เช่น ธนาคารพาณิชย์ของพม่า 4-5 แห่ง สถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ ร้านอาหารไทยในเมียวดี ร้านกาแฟ-ศูนย์รวมแฟชั่น เหมือนของเมืองไทย โรงแรม 5 ดาว แหล่งเศรษฐกิจย่านการค้า จึงเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เพราะในอนาคตทั้งสองประเทศมีแผนร่วมกันที่จะใช้เมืองคู่แฝดนี้เป็นประตูเชื่อมตะวันออก-ตะวันตก”

ด้านนักธุรกิจพม่ารายหนึ่งเปิดเผยว่า รัฐบาลพม่าเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติลงทุนด้านอุตสาหกรรมในนิคมอุตสาหกรรมเมียวดีอย่างเปิดกว้าง ซึ่งมีการเตรียมพื้นที่เอาไว้กว่า 2,500 เอเคอร์ หรือกว่า 6,250 ไร่ นอกจากนี้พล.อ.เต็งเส่ง มีนโยบายแจกที่ดินฟรีให้แก่ชาวพม่าบริเวณชานเมืองเมียวดีโดยห่างจาก จ.เมียวดี ประมาณ 10-15 กิโลเมตร ตามนโยบายการกระจายประชากรในเขตชุมชนแออัดไปยังพื้นที่ใหม่ โดยเบื้องต้นได้จัดสรรที่ดินในการแจกจ่ายให้ประชาชนไว้จำนวน 75-80 เอเคอร์ หรือประมาณ 180-200 ไร่ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้กระจายออกนอกเมืองเมียวดีที่ขณะนี้แออัดมาก เพราะเมืองเมียวดีปัจจุบันกลายเป็นแหล่งการค้า-ย่านธุรกิจ

“เบื้องต้นรัฐบาลได้มอบที่ดินให้กับข้าราชการ ทหาร และตำรวจ เพื่อให้ได้ไปสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยบนที่ดินแห่งใหม่ ส่วนประชาชนนั้นจะจัดสรรให้กับผู้ที่เสียภาษีให้รัฐในอัตราที่สูงสุดก่อน นอกจากนี้ยังมีการมอบให้กับประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีให้กับประเทศ และจะขยายที่ดินที่จะมอบไปสู่ประชากรอื่นๆ ที่จะมีนโยบายที่จะกำหนดตามมา โดยเบื้องต้นนั้นการมอบให้ตั้งแต่ 1 งาน ไปจนถึงไม่เกิน 1 ไร่ โดยมีการไปจับจองตามโควต้าที่ตัวเองจะได้รับแล้ว”

ปัญหาการเมืองอาจทำให้ภาคธุรกิจอื่นๆ ชะงักงัน แต่สำหรับเมืองชายแดน โอกาสการค้าข้ามแดนกับประเทศเพื่อนบ้านนั้น ยังเดินหน้าต่อไปแม่สอดเป็นพื้นที่นำร่องเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ซึ่งหากปัญหาการเมืองยุติลงเมื่อไหร่ ก็คงจะมีการเร่งเดินหน้าแผนแม่บทและนโยบายการพัฒนาเมืองชายแดนอื่นๆ ให้เดินหน้าไปอย่างมีแบบแผนทิศทางมากกว่านี้