บึ้มร้านรับซื้อของเก่าสะท้อนจัดการขยะล้มเหลว
วันนี้ต้องตั้งคำถามว่าวงจรการจัดการขยะได้ให้ความรู้ที่จำเป็นต่อความปลอดภัย หรือระบบคัดกรองขยะอันตรายที่ครบถ้วนหรือยัง
โดย...โพสต์ทูเดย์ออนไลน์
เป็นอันว่าลึกลงไปใต้ผิวดินในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังมีระเบิดหลบตัวอยู่ แม้ว่าจะไม่รู้บริเวณจำเพาะเจาะจงแต่ก็สามารถเทียบเคียงได้ตามประวัติศาสตร์
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราวๆ ปี 2480 ในสงครามมหาเอเชียบูรพา ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะเป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิดจากฝ่ายสัมพันธมิตร โดย 4 จุดใหญ่ๆ ได้แก่ 1.เชิงสะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก 2.สถานีรถไฟหัวลำโพง 3.โรงพยาบาลศิริราช 4.สะพานพระรามหก
อย่างไรก็ดี ใช่ว่าเป็นเรื่องน่าหวาดวิตกชนิดวันๆ เป็นอันไม่ต้องทำอะไร ... ตรงกันข้าม ระเบิดที่ฝังตัวอยู่ใต้ชั้นผิวดินเหล่านั้น หากไม่ไปกระทบกระเทือน-กระแทกกระทั้น ก็จะไม่ตูมตามง่ายๆ
พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด หรืออีโอดี อธิบายว่า ลูกระเบิดทางอากาศ หรือที่เรียกว่า GP (General Purpose) ที่นิยมใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 น่าจะหลงเหลืออยู่ไม่มากในประเทศไทย เห็นได้จาตลอดระยะเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา ได้รับแจ้งว่าพบลูกระเบิดชนิดนี้เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ได้แก่ 1.จ.พระนครศรีอยุธยา 2.สะพานพระรามหก 3.บางซื่อ 4.ร้านรับซื้อของเก่าที่ซอยลาดปลาเค้าเจ็ดสิบสอง 5.จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้อาจจะมีระเบิดที่หลงเหลือถูกฝังอยู่ใต้ดินหรือแม่น้ำลำคลองก็ไม่น่าจะทำงานหากไม่มีประกายไฟปะทุ
"ลูกระเบิดชนิดนี้จะมีชนวนที่หัวและหาง รัศมีฉกรรจ์ขึ้นอยู่กับดินระเบิด เฉลี่ย 500-1000 เมตร เหตุที่ระเบิดด้านอาจเป็นเพราะชนวนไม่ทำงาน ขอแนะนำว่าหากไม่มั่นใจว่าวัตถุโลหะที่พบเป็นระเบิดหรือไม่ก็อย่าไปเจาะ แกะ แยกส่วน ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที"
จะเรียกว่า “วัวหายล้อมคอก” หรืออะไรก็ตามที แต่ภายหลังที่เกิดเหตุระเบิดกลางกรุงจนนำมาซึ่งความสูญเสีย 8 ศพ เจ็บอีกระนาวนั้น ชัดเจนว่าหน่วยราชการพยายามออกแอ๊กชั่นเพื่อป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นอีกอย่างซ้ำซาก โดยส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปยัง “ร้านรับซื้อของเก่า”
แม้ว่าข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จะระบุว่า ปัจจุบันร้านรับซื้อของเก่าที่จดทะเบียนถูกต้องทั่วประเทศมี 1.2 หมื่นร้าน ส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากเปิดโดยไม่ได้ขออนุญาตแทบทั้งสิ้น หรือข้อมูลจาก กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่พบว่ามีกว่า 1,000 ร้านที่ยังขาดความรู้ในการประกอบกิจการและไม่ได้ขึ้นทะเบียนขออนุญาตตาม พ.ร.บ.สาธารณสุข
ทว่า ว่ากันตามความเป็นจริงแล้วร้านรับซื้อของเก่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งเท่านั้น พิชญ รัชฎาวงศ์ อาจารย์ภาควิชา วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากที่ไม่มีระบบคัดแยกขยะ “ที่ต้นทาง” ขณะที่ผู้ที่เก็บของเก่าไม่ได้เคยถูกสอนหรือแนะนำเรื่องวัตถุอันตรายมาก่อน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมควบคุมมลพิษ หรือหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น อาจจะต้องจัดทำคู่มือหรือหาช่องทางที่จะแนะนำเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
นักวิชาการรายนี้ บอกอีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นควรเป็นบทเรียนเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2543 ซึ่งมีผู้ลักลอบนำวัตถุซึ่งเป็นที่บรรจุสารโคบอลท์-60 ไปชำแหละ เพื่อเอาเศษเหล็กไปขายให้ร้านขายของเก่า ทำให้ได้รับอันตรายจากธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งเป็นการเกิดภัยในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ทำให้มีทั้งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
"วันนี้เราต้องตั้งคำถามว่าวงจรการจัดการขยะแต่ละห่วงโซ่นั้นเราได้ให้ความรู้ที่จำเป็นต่อความปลอดภัย หรือระบบคัดกรองขยะอันตรายที่ครบถ้วนหรือยัง นอกจากนี้การก่อสร้างหรือชุมชนที่ขยายตัวขึ้นมีการก่อสร้างขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ บางแห่งอาจจะพบเหตุการณ์ดังกล่าวอีก บางพื้นที่ในต่างประเทศหากพบเหตุการณ์ดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องวางระบบจัดการเรื่องนี้"พิชญระบุ
ที่สุดแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงมาจากวิกฤตขยะล้นเมือง ถึงเวลาแล้วที่คนไทยจะตื่นตัวและส่งเสียงเรียกร้องไปยังใครก็ตามที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดการขยะอย่างจริงจัง
มิเช่นนั้น จนกว่าจะเกิดเสียงระเบิดและมีซากมนุษย์กระจัดกระจายอีกครั้ง สังคมจึงจะหันกลับมาสนใจกับปัญหาที่ถูกซุกเอาไว้อีกครั้ง และเมื่อเสียงตูมตามสิ้นสุดลง ทุกอย่างก็คงนิ่งเฉยเหมือนที่ผ่านๆ มา


