บ่อขยะแพรกษากับความจริงที่ต้องเปิดเผย
เหตุเพลิงไหม้บ่อขยะเนื้อที่กว่า 150 ไร่ ที่ซอยแพรกษา 8 นิคมอุตสาหกรรมบางปู ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา
เหตุเพลิงไหม้บ่อขยะเนื้อที่กว่า 150 ไร่ ที่ซอยแพรกษา 8 นิคมอุตสาหกรรมบางปู ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา
วันดังกล่าวเพลิงไฟได้ลุกไหม้ลุกโชน หมอกควันพิษได้ปกคลุมพื้นที่ต่อเนื่องมาหลายวัน และการดับไฟทั้งหมดสำเร็จลงเมื่อวันที่ 23มี.ค.ที่ผ่านมา รวมระยะเวลากว่า 7 วัน
มีผู้ได้รับผลกระทบจนต้องตัดสินใจอพยพออกนอกพื้นที่ 3 ชุมชน รวม 1,480 ครัวเรือน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บางปู แล้วไม่ต่ำกว่า 1,336 ราย
มหันตภัยไฟไหม้บ่อขยะแพรกษาในครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นเหตุการณ์กองขยะไหม้ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
ทั้งยังตั้งอยู่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญที่สุดของประเทศ
หมอกควันพิษจากไฟไหม้กองขยะแพรกษาแพร่กระจายไปไกลถึง 20 กิโลเมตร นอกจากครอบคลุมพื้นที่ อ.เมืองสมุทรปราการ และบางพลีแล้ว ยังแพร่กระจายไปไกลถึงพื้นที่ของกรุงเทพมหานครอีกไม่น้อยกว่า 6 เขต ประกอบด้วย เขตประเวศ สะพานสูง บางนา ลาดกระบัง คลองสามวา และบึงกุ่ม
นอกจากพื้นที่รับผลกระทบกว้างไกลแล้ว สารพิษที่ตรวจวัดในอากาศแทบทุกชนิด ก็ยังมีค่าสูงเกินมาตรฐานมากจนน่าหวาดวิตก
ทั้งก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์วัดได้ 28 ส่วนในล้านส่วน (ppm) จากค่ามาตรฐาน 0.75 ppm ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน สูงถึง 700 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากค่ามาตรฐาน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน สูงถึง 600 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จากเกณฑ์มาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
พร้อมกันนี้ ยังตรวจพบคาร์บอนมอนอกไซด์ตรงกองขยะสูงถึง 175 ppm จากมาตรฐานไม่เกิน 27 ppm สารอินทรีย์ระเหยง่าย 0.91.0 ppm ในขณะที่สารมลพิษอันตรายที่ก่อมะเร็งและตกค้างยาวนาน ทั้งไดออกซิน และฟิวเรน ที่คาดว่าจะมาจากการเผาไหม้พลาสติก พีวีซี สายยาง และอื่นๆ ทว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในการเก็บตัวอย่างและตรวจวัด
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบว่าพื้นที่กองขยะแพรกษาดังกล่าวมีการลักลอบนำกากขยะอุตสาหกรรม ซึ่งมีสารพิษและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนมาทิ้งไว้อยู่ด้วย และจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่าการขออนุญาตทิ้งขยะในจุดดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการยื่นขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น
นั่นหมายความว่าไม่สามารถจะนำขยะเข้าไปทิ้งได้
อย่างไรก็ดี การนำขยะมาทิ้งจนก่อตัวเป็นภูเขาขยะ ณ ที่แห่งนี้ มีมานานมากกว่า 10 ปีแล้ว เคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้มาแล้วในปี 2551 และปี 2555 ชาวบ้านเคยมีการร้องเรียนหน่วยงานหลายครั้ง
คำถามคือ เหตุใดกองขยะดังกล่าวยังมีรถวิ่งเข้าออกนำขยะหลากหลายชนิดมาทิ้งแทบทุกวัน ภูเขากองขยะก็สูงเด่นส่งกลิ่นเหม็นทั่วบริเวณ
คำถามที่ตามมาอีกก็คือ เหตุใดหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ ไม่จัดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทั้งๆ ที่จากการศึกษาและตรวจสอบเรื่องร้องเรียนของประชาชนโดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่า จ.สมุทรปราการ ติดอันดับ 5 จังหวัดแรกของประเทศที่มีความเสี่ยงในการเป็นพื้นที่ลักลอบการทิ้งกากหรือของเสียอุตสาหกรรม
อีกทั้ง จ.สมุทรปราการ ก็ได้รับการประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษตั้งแต่ปี 2537 ซึ่งจังหวัดจะต้องมีหน้าที่ในการจัดทำบัญชีของแหล่งกำเนิดมลพิษ รวมถึงวางแผนและมาตรการในการจัดการแก้ไขปัญหา
ชัดเจนว่าบริบทของพื้นที่สามารถอธิบายความเลวร้ายของสถานการณ์ ทว่าหน่วยงานผู้รับผิดชอบกลับไม่เคยได้รับการเหลียวแลแม้แต่ชายตามองก็ยังไม่เคย
แม้ว่าวันนี้เพลิงไฟที่กองขยะแพรกษาได้มอดดับลงไปแล้ว แต่ความจริงที่อยู่ใต้กองภูเขาขยะแพรกษา จำเป็นต้องได้รับการเปิดเผย นั่นเพราะข้อมูลเหล่านั้นจำเป็นต้องการกำหนดมาตรการชดเชยเยียวยา และล้อมคอกปัญหาที่จะเกิดขึ้นซ้ำซากอีกในอนาคต
ปริมาณขยะมหาศาลที่จมลงใต้ผืนดินทับถมกันมานาน 10 ปี ที่กองขยะแพรกษาเทียบเคียงความลึกได้กว่าตึกสูง 12 ชั้น ความกว้างเป็นร้อยไร่
ดังนั้น หน่วยงานผู้รับผิดชอบจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลให้สังคมรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกบิดเบือน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม และสาเหตุของการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนยาน
ในกองขยะชัดเจนแล้วว่ามีของเสียอุตสาหกรรมที่เป็นพิษ แต่ไม่เคยมีข้อมูลอธิบายว่าความอันตรายจากขยะเหล่านั้นเป็นอย่างไร พื้นที่ในละแวกข้างเคียงไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ และสิ่งมีชีวิต เหล่านี้มีการปนเปื้อนของสารพิษมากน้อยเพียงใด และหลังจากนี้มีแผนเพื่อจะฟื้นฟูพื้นที่ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
ที่สำคัญ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการติดตามตรวจสอบและฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อม
ดีเอสไอได้ประมาณการว่าระหว่างเดือนมี.ค. 2555มี.ค. 2556 ประเทศไทยมีกากของเสียอุตสาหกรรมที่หายออกไปจากระบบ 31.35 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าปริมาณขยะมูลฝอยที่คนไทยทิ้งกันทั้งประเทศในปี 2556 ตามที่อธิบดีกรมควบคุมมลพิษเพิ่งจะแถลงข่าวไปว่ามีเพียง 26.77 ล้านตัน
ดังนั้น การพบบ่อเถื่อนที่แพรกษาจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจหรือเกินความคาดหมายเท่าใดนัก หนำซ้ำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังสามารถใช้อนุมานไปข้างหน้าได้อีกว่า คงจะมีบ่อขยะเถื่อนลักลอบทิ้งของเสียอุตสาหกรรมแบบนี้อีกหลายร้อยบ่อในหลายพื้นที่ของประเทศ
นี่คงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความไร้ประสิทธิภาพของระบบการจัดการกากหรือของเสียอุตสาหกรรมของประเทศไทย
สำหรับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน 1.การหาตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบ 2.การประเมินและติดตามสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ 3.การติดตามสุขภาพของชาวบ้าน และหน่วยกู้ภัยดับเพลิงและบุคคลที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างการเกิดเหตุทั้งระยะสั้นและระยะยาว
4.ต้องแก้ไขกฎระเบียบที่จะเอาผิดกับผู้ลักลอบทิ้งของเสียอุตสาหกรรมให้มีความรุนแรงเทียบเท่ากับอาชญากรแผ่นดิน ไม่ใช่ปรับเพียงแค่ 5,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าค่าปรับเมาแล้วขับเสียอีก
ในส่วนของการแก้ไขปัญหาในระยะยาว คงถึงเวลาแล้วที่ประเทศเราต้องหันมาทบทวนทิศทางการพัฒนาที่มุ่งการส่งเสริมอุตสาหกรรมไปข้างหน้าอย่างเดียว ทั้งที่ยังไม่มีความพร้อมที่จะรองรับในการจัดการของเสียอุตสาหกรรม และทิ้งภาระความเสี่ยงภัยไปให้ชุมชนและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ต้องเร่งออกกฎหมายการรายงาน และเปิดเผยข้อมูลมลพิษที่บังคับให้โรงงานจะต้องจัดทำรายงานแสดงประเภท ชนิด และปริมาณมลพิษที่ตนเองเป็นผู้ปล่อยออกมา และของเสียที่มีการขนส่งออกนอกโรงงานให้แก่สังคมได้รับรู้
มิเช่นนั้น ความสูญเสียซ้ำซากจากความเสียหายที่สามารถป้องกันได้ ก็จะอุบัติขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อไป
ที่สำคัญ ก็จะไม่สามารถจับมือใครดมได้ ชาวบ้านและประชาชนตาดำๆ ก็จะเป็นเหยื่อผู้รับเคราะห์กรรม ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ก่อแต่อย่างใด


